AUTO THAILAND's Fan Box

AUTO THAILAND on Facebook

Facebook Fanpage QR Code

qrcode

เจอกันที่ใหม่ จัดเต็มกว่าเดิม!

๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

BMW 120d Coupe








BMW 120d Coupe


บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เปิดตัว BMW 120d Coupe โดดเด่นด้วยอารมณ์สปอร์ตเข้มเต็มขั้น ด้วยขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบา และเครื่องยนต์ดีเซลสมรรถนะสูง ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ทำให้ BMW 120d Coupe จัดได้ว่าเป็นรถที่จัดจ้าน ขับสนุก ปราดเปรียวที่สุดคันหนึ่ง อีกทั้งยังดีไซน์โดดเด่นผสมผสานความคลาสสิก และความนำสมัยได้อย่างลงตัว

มร. มิคาเอล คอร์ดิส ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า "BMW ซีรี่ย์ 1 คูเป้ ซึ่งได้รับรางวัล Golden Steering Wheel จะต้องเป็นที่ถูกใจสำหรับ แฟนรถสปอร์ตพันธุ์แท้ในเมืองไทยอย่างแน่นอน ด้วยเส้นสายและรูปทรงสไตล์คลาสสิกคูเป้ จะทำให้ BMW 120d Coupe เป็นรถที่โดดเด่นที่สุดคันหนึ่ง บนถนนเมืองไทย นอกจากนั้นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตรใน BMW 120d Coupe คันนี้ยังเป็นเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง แต่ประหยัดน้ำมันและคายมลพิษน้อย เครื่องยนต์นี้สามารถให้แรงบิดสูงตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานทั้งในเมือง และวิ่งทางไกล ประกอบกับการที่ BMW ซีรี่ย์ 1 คูเป้ มีน้ำหนักเบา ทำให้มั่นใจได้ว่า สุดยอด ในเรื่องของสมรรถนะ ความปราดเปรียวและคล่องตัว BMW 120d Coupe นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จ ของเทคโนโลยี EfficientDynamics ของบีเอ็มดับเบิลยู"

ด้วยระบบเครื่องยนต์ดีเซลที่ล้ำหน้าในด้านเทคโนโลยีพร้อมทั้งระบบเทอร์โบแบบแปรผัน ทำให้ BMW 120d Coupe มีความสปอร์ต คล่องตัว และปราดเปรียวอย่างเหนือชั้น เครื่องยนต์มีขนาด 1,995 ซีซี 4 สูบ สามารถสร้างแรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-3,000 รอบ ด้วยพลังเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงนี้ BMW 120d มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 226 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะเดียวกับ อัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และคายไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 161 กรัมต่อกิโลเมตร

ระบบแชสซีของ BMW ซีรี่ย์ 1 คูเป้ มีการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง ซึ่งนอกจากทำให้รถมีความสามารถในการทรงตัว เกาะถนน และปราดเปรียวสูงสุดแล้ว ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของรถที่ปลอดภัยที่สุดด้วย และความเหนือชั้นอีกประการหนึ่งคือ ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในรถคลาสนี้ ข้อดีของระบบขับเคลื่อนล้อหลัง คือ การแยกหน้าที่ระหว่างล้อขับเคลื่อนและการบังคับเลี้ยว ทำให้ BMW ซีรี่ย์ 1 คูเป้ มีความสปอร์ต คล่องตัว และปราดเปรียวอย่างเหนือชั้นBMW ซีรี่ย์ 1 คูเป้ ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่บีเอ็มดับเบิลยู จะจำรึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของการสร้างรถเล็ก ที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังและขับสนุกเฉกเช่น BMW ซีรี่ย์ 02 (เช่น BMW 2002) ซึ่งเปิดตัวในปีค.ศ. 1966 และเป็นที่ได้รับการยอมรับกันอย่างทั่วหน้าว่า เป็นที่หนึ่งในรถไซส์กระทัดรัด 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ขับขี่สนุก ใช้งานประจำวันสะดวกสบาย ด้วยความนิยมสูงสุดนี้ ทำให้ BMW ซีรี่ย์ 02 นี้อยู่บนสายการผลิตเป็นเวลาถึง 12 ปี และถือได้ว่าเป็นรถที่สร้างประวัติศาสตร์ อันโด่งดังให้กับบีเอ็มดับเบิลยู

BMW 120d Coupe • ราคา 3,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรม BSI BMW Service Inclusive 5 ปี / 100,000 กิโลเมตร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจทดลองขับ โปรดติดต่อตัวแทนจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลทั่วประเทศ และเตรียมพบกับ BMW 120d Coupe ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30
ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม - 6 เมษายน พ.ศ. 2552

๒๒ มกราคม ๒๕๕๒

ฮอนด้าตอกย้ำการเป็นผู้นำต่อเนื่องสองทศวรรษ พร้อมชูจุดแข็งรถครอบครัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการพัฒนา "เวฟ 110 ไอ" มาตรฐานใหม่รถครอบครัว























ฮอนด้าตอกย้ำการเป็นผู้นำต่อเนื่องสองทศวรรษ
พร้อมชูจุดแข็งรถครอบครัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ
ด้วยการพัฒนา "เวฟ 110 ไอ" มาตรฐานใหม่รถครอบครัว

ฮอนด้าเร่งเครื่องเดินหน้าฝ่าสภาวะเศรษฐกิจตึงตัว พร้อมตอกย้ำศักยภาพผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทยต่อเนื่องถึงสองทศวรรษ โดยชูจุดแข็งด้านรถครอบครัว จากการพัฒนารุ่นใหม่ล่าสุด "เวฟ 110 ไอ" เพื่อสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดให้ผู้บริโภค ซึ่งการพัฒนาในครั้งนี้มุ่งเน้นยกระดับสู่มาตรฐานใหม่ของรถแบบครอบครัว ด้วยแนวคิดการออกแบบคือ Precious Commuter หรือรถที่มากคุณค่า รวมทั้งมีภาพลักษณ์ล้ำสมัยสไตล์โมเดิร์น คับ (Modern Cub) และที่สำคัญได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI ที่ให้ทั้งสมรรถนะและความประหยัดเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เสริมภาพลักษณ์โดดเด่น ตลอดจนสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จากการใช้พรีเซ็นเตอร์สุดยอดความนิยม "แดน - วรเวช ดานุวงศ์" โดยรถรุ่นนี้มีให้เลือกมากถึง 3 เวอร์ชั่น ในลวดลายสีสัน 8 แบบสี ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 34,000 บาท และวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. นี้ พร้อมตั้งเป้าหมายการจำหน่าย 4 แสนคันต่อปี
มร.เซนจิโร่ ซากุราอิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า สภาพตลาดรถจักรยานยนต์ในปี 2551 ที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนโดยรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,703,000 คัน ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.5% และในจำนวนนี้เป็นยอดจดทะเบียนของฮอนด้า 1,151,000 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 67.5% ส่งผลให้ฮอนด้ายังคงครองความเป็นผู้นำตลาด และที่สำคัญเป็นการครองความเป็นผู้นำติดต่อกันถึง 20 ปี นอกจากนั้นแล้วในสัดส่วนของตลาดรถแบบครอบครัว นับเป็นตลาดที่ฮอนด้ามีศักยภาพสูงเป็นอย่างมาก ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งสิ้นประมาณ 777,000 คัน หรือเทียบเท่าอัตราครองตลาดมากถึง 90%
ส่วนสภาพตลาดในปี 2552 นี้ คาดการณ์ว่าพฤติกรรมการบริโภคจะมีการไตร่ตรองสูงมากยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งเน้นในสิ่งที่ก่อให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุด ดังนั้นรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มีคุณสมบัติเด่นด้าน "ความไว้วางใจ" , "ความประหยัด" และ "ให้ประโยชน์ด้านการใช้งาน" นั้น จะสามารถตอบสนองตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับฮอนด้าที่จะชูศักยภาพที่แข็งแกร่งในด้านรถครอบครัว โดยล่าสุดนี้ทางฮอนด้าได้พัฒนารถครอบครัวรุ่นใหม่ล่าสุด คือ "เวฟ 110 ไอ" ทั้งนี้เพื่อยกระดับให้เป็นมาตรฐานใหม่ของรถแบบครอบครัว รวมทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการแข่งขันในสภาพปัจจุบัน


สำหรับฮอนด้า เวฟ 110 ไอ ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจากรถแบบคับ (Cub) ตระกูล เวฟ ซึ่งเป็นรถแบบครอบครัวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา และในปัจจุบันมียอดจำหน่ายสะสมมากถึงกว่า 7.4 ล้านคัน โดยการพัฒนาใหม่ในครั้งนี้มีแนวคิดการออกแบบคือ Precious Commuter หรือการพัฒนาให้เป็นรถที่มากคุณค่า และในด้านรายละเอียดของการพัฒนานั้น มุ่งเน้นทั้งในด้านรูปลักษณ์โฉมใหม่ที่มีความล้ำสมัยในสไตล์โมเดิร์น คับ (Modern Cub) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ และติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดของระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI (Programmed Fuel Injection) ที่ให้สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ตลอดจนให้ไอเสียสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยด้านภาพลักษณ์ของฮอนด้า เวฟ 110 ไอ มีรูปแบบเป็นรถครอบครัวโฉมใหม่ตลอดคันด้วยรูปทรง Athletic Form ที่เน้นโครงสร้างของตัวรถให้มีความโค้งมนดังกล้ามเนื้อนักกรีฑาที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง ในขณะที่รูปลักษณ์ปราดเปรียวกะทัดรัด ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัว สำหรับการออกแบบในส่วนของด้านหน้านั้น โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าที่เป็นชุดเดียวกับไฟเลี้ยวสไตล์ล้ำยุค (Multi-Reflector Headlight) และเพิ่มความคมเข้มด้วย Crystal Eye Line สีส้ม เพื่อขับเน้นให้แสงไฟสว่างมากขึ้น ส่วนบังลมเป็นโฉมใหม่ (Renew Athletics Shield) ที่ปฏิวัติรูปลักษณ์จากสไตล์เดิมของรถครอบครัว ด้วยการออกแบบเป็นสามมิติ ซึ่งด้านนอกโค้งรับกับกระจังหน้าและมีลักษณะคล้ายท่าการพุ่งทะยานจากจุดสตาร์ทของนักกรีฑา ในขณะด้านในออกแบบให้มีโครงสร้างเต็มเข้าชุดกับคอนโซลหน้าสไตล์ล้ำสมัย ที่มีคุณสมบัติเด่นทั้งการกันน้ำและกันลม เหมาะสมกับทุกสภาวะการขับขี่

ส่วนทางด้านเรือนไมล์มีขนาดใหญ่ (Wide Sporty Meter) ออกแบบให้มีรูปลักษณ์สปอร์ตสวยงาม พร้อมไฟสัญญาณต่างๆ ครบชุด รวมถึงไฟแสดงความพร้อมของระบบหัวฉีดที่จะปรากฏขึ้นทันทีหลังจากบิดกุญแจสตาร์ท ในขณะช่องเสียบกุญแจสตาร์ทเป็นระบบใหม่ล่าสุด (Glow Key Shutter) ซึ่งเป็นระบบนิรภัยสองชั้นที่มีม่านปิดอัตโนมัติทันทีที่ดึงกุญแจออกหลังจากล็อคคอรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมเพิ่มความสะดวกด้วยพรายน้ำเรืองแสง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลาง

รูปทรงด้านท้ายโดดเด่นด้วยเบาะนั่งแนวสปอร์ตและโค้งรับกับสรีระ ทำให้นั่งได้สบาย พร้อมกล่องเก็บของอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่ง (U-Box) ที่เก็บสัมภาระได้หลากหลาย , ไฟท้ายแบบ Sprint Tail Light รูปทรงเรียวบาง ให้แสงสว่างชัดเจนด้วยโคมไฟใหญ่ตัดเข้าชุดกับคิ้วสีดำดีไซน์โฉบเฉี่ยว ซึ่งรับกับมือจับท้ายแนวเท่ที่กระชับมือ , Side Cover มีรูปทรงปราดเปรียวด้วยสเกิร์ต (Skirt) สีดำเข้มทั้งด้านซ้ายและขวา เป็นแนวเดียวกับรถยนต์แบบสปอร์ต , ระบบกันสะเทือนเป็นแบบโช้คคู่รองรับน้ำหนักได้อย่างมั่นคง , ที่บังโซ่ (Chain Cover) เป็นแบบเต็มสวยงาม , ท่อไอเสียทรงรีขนาดกะทัดรัด (New Standard Muffler) รวมทั้งให้ความปลอดภัยด้วยการติดตั้งเหล็กกันความร้อนจากเครื่องยนต์ และที่สำคัญยังสตาร์ทง่าย เบาแรง ด้วยระบบสตาร์ทที่ไม่ใช้โช้คน้ำมัน พร้อมกลไกลดกำลังอัด
ในส่วนด้านเครื่องยนต์นั้น เป็นเครื่องยนต์ใหม่แบบ 4 จังหวะ ขนาด 110 ซีซี ระบบเกียร์วน 4 ระดับ และระบายความร้อนด้วยอากาศ พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI ส่งผลให้มีสมรรถนะการขับขี่เพิ่มมากขึ้นถึง 25% และประหยัดน้ำมันมากขึ้น 18% เมื่อเปรียบเทียบกับฮอนด้า เวฟ รุ่นยอดนิยมในปัจจุบัน คือ เวฟ 100 (ทดสอบตามมาตรฐาน ECE 40 MODE) รวมทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ค่าไอเสียสะอาดผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียระดับ 6 และที่สำคัญให้ความประหยัดมากยิ่งขึ้นด้วยการรองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมภาพลักษณ์ให้รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ มีภาพลักษณ์โดดเด่นเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง จึงมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ในการประชาสัมพันธ์รถรุ่นนี้ผ่านทางสื่อโฆษณาต่างๆ โดยพรีเซ็นเตอร์คือศิลปินนักร้องนักแสดงยอดนิยม "แดน - วรเวช ดานุวงศ์"
สำหรับฮอนด้า เวฟ 110 ไอ มีให้เลือกทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น ด้วยลวดลายสีสันรวมทั้งสิ้น 8 แบบสี ได้แก่ แบบล้อซี่ลวด-ดิสก์เบรกหน้า-สตาร์ทมือ มีสีสัน 2 แบบ คือ ขาว-เทา (White-Grey) และ แดง-เทา (Red-Grey) , แบบล้อซี่ลวด-ดิสก์เบรกหน้า-สตาร์ทเท้า มีสีสัน 4 แบบ คือ น้ำเงิน-เทา (Blue-Grey) , ฟ้า-เทา (Light Blue-Grey) , แดง-เทา (Red-Grey) และ ดำ-แดง (Black-Red) และแบบล้อซี่ลวด-ดรัมเบรก-สตาร์ทเท้า มีสีสัน 2 แบบ คือ น้ำเงิน-ดำ (Blue-Black) และน้ำตาล-ดำ (Brown-Black)

นอกจากนั้นแล้ว เพื่อรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมการแต่งรถในรูปแบบสวยงาม ทางฮอนด้ายังได้จัดเตรียมอุปกรณ์ตกแต่งอย่างหลากหลาย (C-parts) สำหรับการนำไปตกแต่งให้สอดคล้องและตรงกับรสนิยม รวมทั้งจัดเตรียมผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายแนวแฟชั่น (Collection) เพื่อการสะสมหรือสวมใส่ให้เข้าชุดกับการขับขี่รถรุ่นนี้
ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. นี้ โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 34,000 บาท และกำหนดเป้าหมายการจำหน่ายทั้งสิ้น 4 แสนคันต่อปี

พิธีปล่อยขบวน "สมาร์ท คาราวาน 8,800 กิโลเมตร"


พิธีปล่อยขบวนคาราวาน“สมาร์ท คาราวาน 8,800 กิโลเมตร”

ออกเดินทางกันไปเรียบร้อยแล้วกับ คาราวานครั้งประวัติศาสตร์ ของไฮลักซ์ วีโก้ “สมาร์ท คาราวาน 8,800 กิโลเมตร” หลังจากเลื่อนกำหนดการเดินทางออกไป เนื่องจากเกิดความวุ่นวายทางการเมือง
ในขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จึงถือเป็นช่วงเวลาอันดีที่ “สมาร์ท คาราวาน 8,800 กิโลเมตร” จะได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของ คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก้และได้มีพิธีปล่อยขบวนคาราวาน ณ หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อเช้าวันนี้เวลา 10.00 น
สำหรับการเดินทางจะเริ่มจากวันนี้ไปจนสิ้นสุดการเดินทางในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 23 วัน รอบประเทศไทย แบ่งเป็น 5 เส้นทางหลักๆ ดังนี้

22 – 27 ม.ค. กรุงเทพฯ - ปาย
27 ม.ค. – 1 ก.พ. ปาย – อุดรธานี
1 ก.พ.– 6 ก.พ. อุดรธานี – กรุงเทพฯ
7 ก.พ.– 10 ก.พ. กรุงเทพฯ - หาดใหญ่
10 ก.พ. – 13 ก.พ. หาดใหญ่ – กรุงเทพฯ

โดยเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าผืนป่าตะวันตกของประเทศ เข้าสู่ภาคเหนือ เลียบแม่น้ำโขง เข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสุดแผ่นดินสยามด้านตะวันออก แล้วลงสู่ภาคใต้ชมความสวยงามของทะเลอ่าวไทย ผ่านใต้สุดของสยามและทะเลสีครามของอันดามัน จากนั้นขับผ่านชายฝั่งทะเลตะวันตก มาสิ้นสุดการเดินทางที่ กรุงเทพมหานคร
รวมระยะทางทั้งสิ้น 8,800 กิโลเมตร เพื่อถ่ายทอดความงดงาม ความหลากหลายของวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์
อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทย ให้คนไทยได้รับทราบ และตอกย้ำถึงอรรถประโยชน์ใช้สอย
พร้อมทั้งความสะดวกสบายในการขับขี่ของ ไฮลักซ์ วีโก้ สมาร์ท แค็บ ตลอดการเดินทาง

๑๖ มกราคม ๒๕๕๒

"โตโยต้า"ปลุกสมาร์ทแค็บอีกรอบ ดีเดย์คาราวานไฮลักซ์วีโก้8,800ก.ม.22มกราคมนี้



"โตโยต้า"ปลุกสมาร์ทแค็บอีกรอบ ดีเดย์คาราวานไฮลักซ์วีโก้8,800ก.ม.22มกราคมนี้

โตโยต้าปลุกสมาร์ท คาราวาน 8,800 ก.ม.อีกรอบ เดินเครื่องฉุดกระแสตลาดปิกอัพที่หดตัวมาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมโชว์ความโดดเด่น "ไฮลักซ์ วีโก้ สมาร์ท แค็บ" ดีเดย์ 22 มกราคม สิ้นสุด 13 กุมภาพันธ์

นายกิจ มหาจุนทการ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า โครงการสมาร์ท คาราวาน 8,800 กิโลเมตร รอบประเทศไทย โดยรถปิกอัพไฮลักซ์ วีโก้ ที่มีอุปสรรคจากปัญหาแตกแยกทางด้านความคิดของคนในประเทศลุกลามใหญ่โตจนถึงขั้นยึดสนามบินนานาชาติและต้องยกเลิกไปเมื่อปีที่ผ่านมานั้น ขณะนี้บริษัทได้ตัดสินใจกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง โดยมีกำหนดการเดินทางใหม่ในวันที่ 22 มกราคม 2552
และสิ้นสุดการเดินทางในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 รวมทั้งสิ้น 23 วัน
นายกิจกล่าวว่า โตโยต้าได้จัดคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก้มาหลายครั้ง แต่ละครั้งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การเดินทางโดยรถยนต์บนเส้นทางอันยาวไกล เริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2550 ไปยังดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ และเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเดินทางทั่วโลก จากกรุงเทพฯ ลีเจียง ทิเบต และเส้นทางสายแพรไหมไปสิ้นสุดที่ประเทศอุซเบกิสถาน ในการเดินทางทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ก็ได้นำเรื่องราวกลับมาถ่ายทอดให้คนไทยได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของภูมิประเทศ ผู้คน วัฒนธรรม ประเพณี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และในครั้งนี้เรามองว่าเมืองไทยก็มีสิ่งที่น่าสนใจ มีเอกลักษณ์ ภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีความหลากหลายของวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ และน่าจะนำมาเผยแพร่ให้คนไทยได้รับทราบ ประกอบกับเราได้แนะนำไฮลักซ์ วีโก้ ใหม่ สมาร์ท แค็บ รถกระบะที่ออกแบบสำหรับลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะเข้าสู่ตลาดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เราจึงได้จัดการเดินทางสมาร์ท คาราวาน 8,800 ก.ม.
ทั่วไทยขึ้น เพื่อถ่ายทอดความสวยงามของเมืองไทย และตอกย้ำถึงอรรถประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบายในการขับขี่ของไฮลักซ์ วีโก้ สมาร์ท แค็บ ตลอดการเดินทาง"
"สมาร์ท คาราวาน จะเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของไฮลักซ์ วีโก้ โดยมีระยะเวลาการเดินทาง 23 วัน
รอบประเทศไทย จากกรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ชมความสวยงามของทะเลอ่าวไทย ผ่านใต้สุดของสยาม
และทะเลสีครามของอันดามัน จากนั้นขับผ่านผืนป่าตะวันตกของประเทศเข้าสู่ภาคเหนือ เลียบแม่น้ำโขง เข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สู่ตะวันออก สุดของสยาม ผ่านชายฝั่งทะเลตะวันออก สิ้นสุดการเดินทางที่กรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 8,800 กิโลเมตร โดยตลอดการเดินทางจะสัมผัสความหลากหลายของผู้คน วัฒนธรรม ประเพณี ความสวยงามของสถานที่ ตลอดจนพบปะบุคคลที่น่าสนใจ พร้อมได้นำเสนอประสบการณ์อันล้ำค่าในการเดินทางมาถ่ายทอดให้ชาวไทยได้รับรู้ นับเป็นการเดินทางที่น่าจดจำครั้งหนึ่ง" สมาร์ท คาราวาน ประกอบด้วยลูกค้าไฮลักซ์ วีโก้ ใหม่ สมาร์ท แค็บ
จากผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ร่วมกับสื่อมวลชนกว่า 50 ชีวิต ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการเดินทางตลอด 23 วัน รอบประเทศไทย นับเป็นคาราวานครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของประเทศไทย ที่จะมีผู้ร่วมเดินทางมากที่สุดโดยรถกระบะไฮลักซ์ วีโก้ ใหม่ สมาร์ท แค็บ นอกจากจะเป็นการทดสอบสมรรถนะของรถกระบะไฮลักซ์ วีโก้ สมาร์ท แค็บแล้ว
ยังเป็นการเปิดโลกการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง

ข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

๑๕ มกราคม ๒๕๕๒

แถลงข่าวของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประจำปี 2552
















แถลงข่าวของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประจำปี 2552
ตลาดรถยนต์ปี 2551 ยอดขายรวม 615,270 คัน ลดลง 2.5%
โตโยต้า คาดตลาดรถยนต์ปี 2552 หดตัว
ยอดขายรวม 520,000 คัน ลดลง 15.4%

มร.มิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ประจำปี 2551 มีปริมาณการขาย 615,270 คัน ลดลง 2.5% คาดตลาดรถยนต์ไทยปี 2552 มีแนวโน้มหดตัว มียอดขาย 520,000 คัน ลดลง 15.4% พร้อมตั้งเป้าหมายการขายรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่น 221,000 คัน
ลดลง 15.7% ครองส่วนแบ่งตลาด 42.5%

มร.โซโนดะ กล่าวว่า“ตลาดรถยนต์ปี 2551เป็นช่วงเวลาที่ผกผันเป็นอย่างมากของอุตสาหกรรมยานยนต์
โดยปริมาณการขาย เมื่อเปรียบเทียบในแต่ละไตรมาสแล้ว จะเห็นว่าในไตรมาสแรกของปี มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 17% แต่ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 2 เนื่องจากภาวะการตื่นตระหนกในราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณการขายเติบโตเพียง 3.6% และได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 ประกอบกับวิกฤติการเงินโลก
ทำให้ไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตติดลบเป็นครั้งแรกของปี และส่งผลต่อถึงการขายในไตรมาส 4 ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองไม่แน่นอน ทำให้ยอดขายลดลงเช่นเดียวกัน โดยลดลงถึง 14.6% ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ของปี พ.ศ. 2551
หดตัวลดลงเหลือ 615,270 คัน ลดลง 2.5%”

“การหดตัวของตลาดรถยนต์ในปี 2551 เป็นผลมาจาก การหดตัวของตลาดรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งมีความสำคัญและ
มีสัดส่วนการขายสูง โดยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่มีพลังงานทางเลือกสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยในปีที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะ มียอดขายลดลงถึง 17.6%
ขณะที่ตลาดรถยนต์นั่ง มีปริมาณการขายทำสถิติ ด้วยยอดขาย 226,805 คัน เติบโต 33.3%
เป็นผลจากมีการแนะนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด ความนิยมอย่างต่อเนื่องของรถยนต์พลังงานทางเลือก
E20 และสมรรถนะการประหยัดน้ำมันของรถยนต์นั่งขนาดเล็ก”

สถิติการขายรถยนต์ ในปี 2551
 ปริมาณการขายรวม 615,270 คัน ลดลง 2.5%
 รถยนต์นั่ง 226,805 คัน เพิ่มขึ้น 33.3%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 388,465 คัน ลดลง 15.8%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 334,282 คัน ลดลง 17.6%
 รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 311,470 คัน ลดลง 18.6%

“สำหรับโตโยต้า เราสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ 42.6% มียอดขายเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 4ติดต่อกัน
ในตลาดรถยนต์รวม ตลาดรถยนต์นั่ง ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ด้วยยอดขายรวม 262,209 คัน ลดลง 7%
แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 106,853 คันเพิ่มขึ้น 15.5% รถกระบะ1 ตัน 141,249 คัน ลดลง 18.4%

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2551
 ปริมาณการขายโตโยต้า 262,209 คัน ลดลง 7.0% ส่วนแบ่งตลาด 42.6%
 รถยนต์นั่ง 106,853คัน เพิ่มขึ้น 15.5% ส่วนแบ่งตลาด 47.1%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 155,356 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 40.0%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 141,249 คัน ลดลง 18.4% ส่วนแบ่งตลาด 42.3%
 รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 127,208 คัน ลดลง 19.7% ส่วนแบ่งตลาด 40.8%

“ทางด้านการส่งออกของปีที่ผ่านมาโตโยต้าสามารถส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป จำนวนทั้งสิ้น 313,000 คัน
เติบโต 32% มูลค่าการส่งออก 13,400 ล้านบาท นอกจากนี้ เราได้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่จำนวนทั้งสิ้น 28,800 คอนเทนเนอร์ มูลค่าการส่งออก 44,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา” มร.โซโนดะกล่าว
สำหรับแนวโน้มของตลาดรถยนต์ของปี 2552 มร.โซโนดะ กล่าวว่า“เราคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ในปี 2552
จะมีอัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนประมาณ 15% ปริมาณการขาย 520,000 คัน โดยแบ่งออกเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 205,000 คัน ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน 269,000 คัน และตลาดรถกระบะในเซ็กเม้นท์นี้ 252,000 คัน
โดยคาดการณ์จากอัตราการเติบโตที่ลดลงของไตรมาส 4 ในปี 2551 ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์ปัจจุบันและส่งผลต่อเนื่องมาถึงปีนี้ โดยโตโยต้า ได้ตั้งเป้าหมายการขายไว้ที่ 221,000 คัน ลดลง 15.7%
เมื่อเทียบกับปี 2551 และคาดว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาด 42.5%”

“เรายังมีความเชื่อมั่นว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกไปอีกระยะหนึ่งก็ตาม ทั้งนี้ ระดับราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพและไม่สูงมากนักจะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ และจากข้อมูลอัตราการถือครองรถยนต์ต่อประชากรแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีความต้องการอยู่มากทั้งความต้องการรถยนต์ใหม่ในต่างจังหวัดและทดแทนรถยนต์คันเดิมสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ เรายังมองเห็นโอกาสทางการตลาดและมีช่องทางสำหรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศ” มร.โซโนดะ กล่าวเพิ่มเติม

ประมาณการยอดขายรถยนต์ ในปี 2552
 ปริมาณการขายรวม 520,000 คัน ลดลง 15.4%
 รถยนต์นั่ง 205,000 คัน ลดลง 8.6%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 269,000 คัน ลดลง 19.1%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 315,000 คัน ลดลง 19.0%

ประมาณการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2552
 ปริมาณการขายรวม 221,000 คัน ลดลง 15.7% ส่วนแบ่งตลาด 42.5 %
 รถยนต์นั่ง 91,000 คัน ลดลง 14.9% ส่วนแบ่งตลาด 44.4 %
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 117,800 คัน ลดลง 16.6% ส่วนแบ่งตลาด 43.7%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 130,000 คัน ลดลง 16.3% ส่วนแบ่งตลาด 42.3%

มร.โซโนดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลาดรถกระบะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะมีสัดส่วนการขายสูงถึง 60% และลดลงอย่างมาก ในปีผ่านมาเหลือระดับ 50% ในปี นี้ เราจะให้ความสำคัญและส่งเสริมการขายรถกระบะ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ และรักษาระดับการขายรถยนต์นั่งไว้ ทั้งนี้ ไม่เพียงจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเท่านั้น ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมอีกด้วย และขอความสนับสนุนจากรัฐบาลในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มอำนาจซื้อให้แก่ผู้บริโภค ส่งเสริมนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่เพียงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมอีกด้วย”
“ภายใต้สถานการณ์การตลาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน นอกจากเป้าหมายการขายที่จะต้องบรรลุแล้ว เรายังต้องเน้นถึงความสมดุลของการบริหารต้นทุน และการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงมุ่งมั่นสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเพื่อรักษาความสำเร็จต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลความพึงพอใจทั้งจากรางวัล JD Power และ TAQA นอกจากนี้ เรายังคงดำเนินงานตามแผนการผลิตรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมโดยจะแนะนำรถยนต์ คัมรี ไฮบริด และ รถยนต์ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติอัด ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจกรรมเพื่อสังคม และกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในหลายๆด้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสังคมไทย” มร.โซโนดะ กล่าวในที่สุด

๐๘ มกราคม ๒๕๕๒

โตโยต้า ส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทย มอบอุปกรณ์การศึกษา มูลค่า 2.5 ล้านบาท


มร. มิทซึฮิโระ โซโนดะ

โตโยต้า ส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทย มอบอุปกรณ์การศึกษา มูลค่า 2.5 ล้านบาท

โตโยต้า ส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทยมอบอุปกรณ์การศึกษา มูลค่า 2.5 ล้านบาท
เป็นของขวัญ “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปี 2552

มร. มิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
มอบอุปกรณ์การศึกษา รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,500,000 บาท ให้แก่ โรงเรียน วัด ชุมชน ศูนย์เยาวชน
และองค์กรการกุศลทั่วประเทศ ที่ โรงงานประกอบรถยนต์ โตโยต้าสำโรง จ.สมุทรปราการ
เพื่อเป็นของขวัญสำหรับเยาวชน
เนื่องในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปี 2552 เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาเล่าเรียนต่อไป กิจกรรมนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนไทย
ซึ่งเป็นปณิธานอันแน่วแน่ประการหนึ่งของ โตโยต้า
ที่มุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 46 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

ร่วมส่งแรงใจไปเชียร์ 'เจ้าหนึ่ง' : มานะ พรศิริเชิด








ร่วมส่งแรงใจไปเชียร์ 'เจ้าหนึ่ง' : มานะ พรศิริเชิด

มิตซูบิชิ ประเทศไทย ขอเชิญแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยทุกท่าน ร่วมส่งแรงใจไปเชียร์ เจ้าหนึ่ง -มานะ พรศิริเชิด นักแข่งไทยหนึ่งเดียวในการแข่งขัน Dakar 2009 Agrentina - Chile ที่เว็บไซท์
www.pajerosport2dakar.com 'ดาการ์ แรลลี่ 2009 : บททดสอบสำคัญของ ปาเจโร สปอร์ต และ มานะ พรศิริเชิด...ความท้าทายครั้งใหม่ กำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่' โดยสามารถติดตามผลการแข่งขันแบบอัพเดท วันต่อวัน ทันท่วงที เพียงคลิกเข้าไปใน ตารางการสรุปผลการแข่งขันแบบวันต่อวัน
ที่เว็บไซท์
www.pajerosport2dakar.com ดาการ์ แรลลี่ 2009 คุณจะเห็นอันดับล่าสุดของ เจ้าหนึ่ง : มานะ และนอกจากนั้น ยังสามารถอ่าน รายงานสดการแข่งขัน เรียบเรียงโดย คุณหน่อย : ประสาน ผู้จัดการทีมมอเตอร์สปอร์ต MMTh และทีม Mitsubihsi Singha PTT Ralliary Team Thailand บรรยายทุกความเร้าใจจากขอบสนามแข่ง
พิเศษสุด...ความรู้สึกและความระทึกใจ บรรยายโดย เจ้าหนึ่ง : มานะ หลังจากการแข่ง วัน ต่อ วัน ใน
Mana BLOG พร้อมติดตามข่าวสารของ รถแข่งจากทั่วโลก ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้
พร้อมร่วมเชียร์และชมรูปภาพช็อตใกล้ชิดติดขอบสนาม
และทั้งหมดนี้ มิตซูบิชิ ขอเชิญทุกท่านช่วยเป็นกำลังใจนักแข่งไทยหนึ่งเดียว โลดแล่นไปพร้อมกับรถไทย Mitsubishi Pajero Sport Evolution ในสนามแข่งสุดหฤโหด
ที่เว็บไซท์ www.pajerosport2dakar.com หรือ www.dakar.com ครับ