AUTO THAILAND's Fan Box

AUTO THAILAND on Facebook

Facebook Fanpage QR Code

qrcode

เจอกันที่ใหม่ จัดเต็มกว่าเดิม!

๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒

Test Riding:Honda Wave 110 I น้องใหม่ในตระกูลหัวฉีดPGM-FI(กว่าจะมาได้)

Test Riding:Honda Wave 110 I น้องใหม่ในตระกูลหัวฉีดPGM-FI

โอ้แม่เจ้า! เกิดอะไรขึ้นกับผมทั้งๆที่จะลงรีวิวให้เร็วๆกับพบว่า

ดองรีวิวมานาน2เดือนแล้ว!!! เฮ้ยต้องให้ผู้ที่เข้าเว็บผม

จะได้อ่านเร็วคงเหนื่อยไม่ใช่เล่น

ถ้าพูดถึงรถจักรยานยนต์ที่ใช้ระบบหัวฉีด คงจะปฎิเสธไม่ได้ว่า

ฮอนด้าเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ที่ใช้ระบบหัวฉีดอัจฉริยะ PGM-FIเป็นรุ่นแรกของไทย

โดยรุ่นแรกที่นำมาใช้คือ Honda Wave 125 I ปี2546 แต่! กระแสตอนนั้นได้รับความนิยมน้อย

พอสมควรและหลังจากนั้นประมาณปี2548 ก็พัฒนาHonda Wave 125 I เป็นเจเนอเรชั่นที่2

ด้วยนำวงBig Assเป็นพรีเซ็นเตอร์ในช่วงนั้น แล้วพอมาถึงปี2551 เรื่องที่ฮิตกันมากที่สุดคือ

เรื่องโลกร้อนและน้ำมันแพง ดังนั้นฮอนด้าจึงตัดสินใจพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยการนำเสนอ

ระบบหัวฉีดในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าให้รู้จักกันมากขึ้น จนในช่วงเดือนกรกฎาคมปี2551

ฮอนด้าได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์2รุ่น2สไตล์คือCZ-iและClick-I A.T.หัวฉีดรุ่นแรกของเมืองไทย

ซึ่งClick-I ได้ Reviewไปเรียบร้อยแล้ว แต่CZ-iนั้นกำลังจะReviewอยู่เหมือนกันแต่พอดีมี

เหตุหลายอย่างที่ต้องทำจึงไม่มีเวลาว่างที่จะReview จึงทดสอบใหม่แต่คราวนี้ได้ทดสอบกับ

น้องใหม่ในตระกูลหัวฉีดPGM-FI นั้นก็คือHonda Wave 110 I ซึ่งเปิดตัวเมื่อ

ช่วงต้นเดือนมกราคมปี2552 และได้จัดกิจกรรม”C’mon Everybody ปฏิวัติการขับขี่-

เทคโนโลยีหัวฉีด”ซึ่งได้จัดขึ้นในวันที่7มีนาคม2552 ภายในงานมีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น

ขบวนพาเหรดขับขี่ปลอดภัย,การแข่งขันเต้นPopping Dance และอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้ยังมีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หัวเทียน รายการละ20บาท

รวมทั้งการทดสอบขับขี่รถจักรยานยนต์Honda CZ-iและWave 110 i

เราก็เลือก Honda Wave 110 I มาทดสอบมาดูกันว่าจะดีกว่า

Honda Wave คาร์บูเรเตอร์หรือไม่ไปดูกัน




สำหรับHonda Wave 110 I นั้นมีการออกแบบใหม่หมดทั้งคัน

ตั้งแต่ไฟหน้ายันต์ถึงไฟท้ายเลยที่เดียวซึ่งรถรุ่นคนเขาจะเรียกว่า"รถบังลม"

เพราะรถที่ออกแบบมานั้นมีลักษณะค่อนข้างที่จะมีแรงเสียดทานมาก(มั้ง)

ดังนั้นฮอนด้าเวฟ110ไอ ใหม่ จึงออกแบบมาใหม่โดยมีความลู่ลมมากขึ้น

จึงประหยัดน้ำมันมากขึ้น ไฟหน้านั้ได้ยกมาจากฮอนด้าเวฟเจนเนอเรชั่นก่อนที่จะเป็นไฟแยก

แต่ไฟหลักนั้นมีหลอดเดียวส่วนไฟหรีจะอยู่แถบที่หลังสีเหลืองเข้มและ
ส่วนไฟเลี้ยวนั้นจะเป็นเลนส์ใส

มุมด้านหลัง


ขนาดที่ไฟท้ายนั้นคล้ายกับรถฮอนด้าไอคอนซึ่งอาจจะดูคล้ายกันแต่ก็ใช้ได้ครับ

โช้คคู่แบบสปริง ดูดซับแรงกระแทกได้ดีครับ

พอมาได้ขับขี่นั้นมีความรู้สึกนั่งสบายเพราะเบาะใหญ่ดี ส่วนที่เก็บของนั้นกว้างครับ

แต่สั้นไปสักนิดหนึ่ง เพราะผมได้ลองเอาขวดน้ำมาไว้ใต้เบาะ พบว่ามีปัญหาในการไว้ตำแหน่ง

ขวดน้ำให้สามารถอยู่ใต้ได้ ผมก็พยายามหลายครั้ง(หาตำแหน่งตั้งนาน)

จนสุดท้ายก็สามารถใส่ได้และปิดเบาะที่เปิดมาได้สำเร็จ


ในส่วนกุญแจนั้นก็เหมือนรถฮอนด้าทั่วไป แต่Key Sutterนั้นเป็นแบบพิเศษคือถ้าสมมุติว่า

คุณขี่ถึงบ้านคุณแล้วคุณจอดรถ หลังจากนั้นคุณก็ล็อกคอรถแล้ว

หลังจากนั้นคุณดึงกุญแจออกแล้วเจ้าKey Sutterเนี้ยจะปิดม่านโดยอัตโนมัติทันทีที่

ดึงกุญแจออกพร้อมมีพรายน้ำเรืองแสงสามารถมองเห็นในตอนกลางคืนได้ด้วย

(แม้…..เยี่ยมจริง)

ผมจึงสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าKey Sutterว่าทำไมต้องทำม่านปิดโดยอัตโนมัติ

เพราะเห็นใดจึงทำแบบนี้ คำตอบก็คือ”หลังจากที่เราได้สำรวจพบว่า ผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์

ส่วนใหญ่เวลาใช้รถจักรยานยนต์เสร็จแล้ว จะไม่ปิดกุญแจนิรภัย2ชั้นที่มีม่าน

เราจึงทำมาแบบปิดอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยและเราก็ยังทำพรายน้ำเรืองเพื่อเพิ่มการมองเห็น

ในตอนกลางคืน”
ผู้ที่คำตอบนั้นคือวิทยากรจากเอพีฮอนด้า


ในส่วนเรือนไมล์นั้นใหญ่ครับ แต่เข็มไมล์มันดูเหมือนว่ามันจะสั้นแต่ที่จริงมันยาวครับ

(มันเหมือนตัวผมจะสายตาสั้นแล้วนะ.....เหมือนตัวเองซะอย่างงั้น)

พร้อมไฟบอกตำแหน่งเกียร์และไฟแสดงความพร้อมของระบบหัวฉีด

ที่ไมล์หลังจากบิดกุญแจ


------------------รายละเอียดมาจากทางวิศวกร หลังจาการขับขี่------------------

เครื่องยนต์ แบบ4จังหวะ แบบโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบายความร้อนด้วยอากาศ

ปริมาตรกระบอกสูบ 109.1 ซีซี ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI

สามารถใช้น้ำมันเบนซินออกเทน91,แก็สโซฮอล์91และสามารถใช้ E20ได้ด้วย


นับว่าเป็นรถจักรยานยนต์รุ่นแรกในเมืองไทยที่สามารถใช้น้ำมันE20ได้

นอกจากนี้ยังมีการรับประกันอุปกรณ์ระบบหัวฉีด 5ปีหรือ 50,000กม.

ซึ่งให้สมรรถนะที่ดีขึ้นถึง25% ดีกว่าWave100

ประหยัดน้ำมันได้ดีกว่าWAVE100ถึง18%

ในส่วนของระบบเบรกนั้นดีครับ แต่ว่าต้องควบคุมรถให้ดีครับ

แล้วที่สำคัญเวลาเราเบรก เราอย่าหักหลบเพราะจะทำให้รถล้มได้ครับ

Specification



ในที่สุดก็มาถึงราคากันแล้ว ซึ่งคุณคิดรถมอเตอร์ไซด์แบบหัวฉีดเนี้ยจะมีราคาแพง

แต่!!!!!!!!!
ไม่แพ้ครับ

เริ่มจากรุ่นต่ำสุดคือสตาร์ทเท้า-ดรัมเบรก มีราคา34,000บาท*

รุ่นต่อมาคือสตาร์ทเท้า-ดิสเบรกหน้า มีราคา36,000บาท*

และรุ่นสูงสุดคือสตาร์ทมือ-ดิสเบรกหน้า มีราคาถึง40,000บาท*

(*หมายเหตุ:ราคาดังกล่าวเป็นราคาในกรุงเทพและปริมณฑล)


สรุป:เป็นรถครอบครัวที่ถือว่าดีครับผม เพราะสามารถขับขี่ได้ทุกเพศ ทุกวัย

(ต่ำกว่า10ปี เป็นคนซ้อนแทน ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)

และอีกอย่างที่ผมพูดไม่ได้คือระบบหัวฉีด ซึ่งทำงานได้ดีมากครับ

ไม่ว่าจะการออกตัว การเร่งแซงได้ทันใจครับ


แล้วที่สำคัญคือระบบเกียร์นั้นแบบลื่นไหล ไม่มีสะดุดครับ




THANK YOU FOR READ MY REVIEW



(ก่อนจะจบทำความเข้าใจกันสักนิดนึงครับ สำหรับTest riding ถ้ามีคำว่า"Review"หมายถึงการทดลองแบบสั้นๆ

แต่ถ้าเป็นคำว่า"Full Review"หมายถึงการทดสอบอย่างเป็นทางการ ขอให้อ่านรีวิวของอย่างสนุกนะครับ^-^)
ใครที่รอรีวิวHonda CZ-iนั้นกันยายนนี้แน่นอนครับ
และในเดือนสิงหาคม จะรีวิวSuzuki Skydriveกันครับ

๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒

CAMRY HYBIRD ครั้งแรกในเมืองไทยกับรถไฮบริดในเมืองไทย









CAMRY HYBIRD ครั้งแรกในเมืองไทยกับรถไฮบริดในเมืองไทย

Toyota รุกหนักตามแผนยุทธศาสตร์ทั่วโลกให้รถยนต์ Hybrid กระจายไปตามทุกมุมทุกแห่งของโลกวางโครงสร้างรถยนต์ประหยัดพลังงานให้ซึมลึก เข้าในสายเลือดผู้บริโภคเมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันแพงหรือถึงวาระน้ำมันเหือดแห้ง ไป หวังยอดขายมากกว่า 10%ของเครื่องยนต์สันดาปภายในภายใน 2015 ขณะนี้รถ Toyota Hybrid มียอดขายมากถึง 1.7 ล้านคันเฉพาะปี 2008 และจะยิ่งได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ไม่เกิน 1-2 ปีนี้

ไม่รอช้า Toyota Motor Thailand ส่ง Camry Hybrid เปิดตัวรอบสื่อมวลชนก่อนใคร เปิดตัวครั้งที่ 2 ในเอเชียแต่จะผลิตในไทยที่แรกในโลกก่อนประเทศจีน โดยเห็นแค่ตัวรถเท่านั้นไม่สามารถเปิดดูภายในรถได้รวมถึงรายละเอียดทาง เทคนิคทั้งหมดก็ยังไม่ได้ระบุจนกว่าจะเปิดตัวจริงวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นวันที่ซักถามและเรียนรู้เกี่ยวกับระบบไฮบริดส่งต่อข่าวคราวไปยังผู้ บริโภคก่อนที่จะขายจริง

ตัวรถดีไซน์ให้แตกต่างจากเวอร์ชันปกติด้วย กระจังหน้าเงากึ่งโครเมี่ยมสองชั้นดูล้ำสมัยมากกว่าจะดูหรูหรา ลายกระจังแตกต่างจาก Camry เวอร์ชันปกติที่ Minorchange พอสมควร รวมทั้งกันชนหน้าที่ออกแบบใหม่ให้ลมไหลเวียนได้ลื่นไหลกว่าเดิม ไฟท้ายเปลี่ยนเป็นโคมใสออกสีเงิน ๆ เหมือนตระกูลไฮบริดของ Toyota รุ่นอื่น ๆ

ระบบ Hybrid ที่ Toyota เรียกใช้ชื่อว่า Hybrid Synergy Drive เป็นระบบ Full Hybrid สอดประสานทำงานทั้งเครื่องยนต์ 2AZ-FXE แบบ Atkinson Cycle เวอร์ชันอเมริกาจะได้ 147 แรงม้าส่วนเวอร์ชันที่จำหน่ายในประเทศจะต้องรอสรุปให้แน่ชัดอีกครั้ง แต่ทีมงานยืนยันกับเราว่าเครื่องนี้เติมน้ำมัน E10 ได้เท่านั้น ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี่แบบนิกเกิล เมทัล ไฮดราย

หลักการทำงานไฮบริดของ Toyota คงต้องสาธยายให้เข้าใจกันอีกสักรอบครับ

ขณะออกตัว
รถ ถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ข้อดีคือการละเว้นใช้เครื่องสันดาปภายในที่ทุกครั้งสตาร์ทรถก็จะเกิดการต่อ ต้านแรงเสียดทานอย่างหนัก ณ ช่วงเวลาหนึ่งทำให้เกิดมลพิษสูง ณ ขณะนั้น

การขับขี่ด้วยความเร็วคงที่และการเร่งความเร็ว
เครื่อง ยนต์จะทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าถูกควบคุมโดยระบบควบคุมอัจฉริยะให้ทำงานกันสมดุล ระหว่างอัตราเร่งและความประหยัด พลังงานส่วนเกินที่ได้จากเครื่องยนต์จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บประจุ เอาไว้

แต่หากเร่งความเร็วสูงสุดเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะประสานกำลังพร้อมๆกันทันทีเพื่อรีดอัตราเร่ง เสมือนสองแรงแข็งขันกัน

การเติมพลังงานขณะเบรคหรือชะลอรถ
เครื่อง ยนต์หยุดทำงานทันที มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟและเปลี่ยนพลังงานความร้อนที่เกิด จากการลดความเร็วหรือเบรคเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่

การดับเครื่องยนต์ขณะจอด
ระบบ Idle Start-Start ดับเครื่องยนต์ขณะจอดช่วยลดมลภาวะและอัตราสิ้นเปลืองเชิ้อเพลิงได้มาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่การจราจรติดขัด

ด้วย ระบบทั้งหมดทำให้ Camry Hybrid ประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องเบนซินปกติถึง 30% ลดมลภาวะทางเสียงและมลพิษทางอากาศได้สูงมาก เมื่อมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทุกคนจะตระหนักว่าจะมีปัญหาอะไรไหม,ราคาเท่าไร งานนี้ Toyota ให้คำตอบพวกเราดังนี้

ราคาจำหน่าย Camry Hybrid จะแพงกว่ารุ่นเดิมเท่าไร? ความทนทานและค่าบำรุงรักษาจะแพงหรือไม่?
คาด ว่าจะไม่เกิน 1.8 ล้านบาทหรือแพงกว่ารุ่นปกติราว 1 แสนบาท เป็นเพราะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถไฮบริดแค่ 10% รวมทั้งยกเว้นภาษีสำหรับชิ้นส่วนไฮบริดได้แก่ แบตเตอรี่สำหรับประกอบเป็นรถคันจริง และจะพยายามเจรจาของลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง หากเจรจาสำเร็จจะยิ่งตั้งราคาได้ใกล้เคียงกับรุ่นปกติมากเท่านั้น

Toyota ยืนยันว่าความทนทานของระบบไฮบริดไม่แตกต่างจากรถเครื่องสันดาปภายในแท้ ๆ เพราะพวกเขาวิจัย พัฒนา และวางจำหน่ายมา 12 ปีแล้ว จึงมั่นใจว่าเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบกับการใช้งานจริงแล้ว โดยเฉพาะอัตราการเสียของแบตเตอรี่นิกเกิล เมทัล ไฮดราย ของรถโตโยต้าไฮบริดทั่วโลกภายใน 10 ปีมีแค่ 0.002% เท่านั้น

การสร้าง ความมั่นใจว่าแบตเตอรี่จะทนทานเพียงพอหรือไม่ Toyota กล้ารับประกันแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี จากเดิม 3 ปีเพื่อ หากหมดระยะประกันแล้วราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่คาดว่าราคาจะไม่แพงถึง 2 แสนบาท พวกเรามองว่าคำตอบนี้ย่อหน้านี้คือสิ่งที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Toyota กดราคาแบตเตอรี่สำรองไว้ที่เท่าไร ผู้บริโภคกลัวมากว่าราคาจะพุ่งกระโดดไปถึง 3-4 แสนบาท

การกำจัด แบตเตอรี่ที่หมดอายุหรือเสียแล้ว Toyota เตรียมการทั้งหมดไว้แล้วตามกฏหมายและมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ด้วยการรับผิดชอบรีไซเคิลกากแบตเตอรี่ทั้งหมด

Toyota พร้อมด้านการบริการเต็มที่ด้วยการจัดอบรมช่างผู้เชี่ยวชาญบริการหลังการขาย, การเตรียมอะไหล่พร้อมทุกโชว์รูมและศูนย์บริการโตโยต้าทั่วประเทศ 308 แห่ง และจัดช่างเทคนิคพิเศษประจำ 5 ภูมิภาคในจังหวัดสำคัญ ๆ หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ช่างในศูนย์บริการไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

เตรียม การพร้อมขนาดนี้ตั้งเป้าจำหน่ายรุ่นไฮบริดสูงถึง 60-70% ของยอดขาย Camry รวมหรือคิดประมาณ 550-700 คัน/เดือน ถือเป็นเป้าหมายที่สูงมาก ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0,2.4 และ 3.5 ลิตรยืนยันว่ายังทำตลาดเหมือนเดิมด้วยรุ่นปรับปรุงโฉมที่รูปร่างหน้าตา เหมือนเวอร์ชันจีนที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อมกราคม

๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ถึงเวลาที่ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เปิดตัวซะที













ถึงเวลาที่ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เปิดตัวซะที

ในที่สุด ฟอร์ด เซลล์(ประเทศไทย) ได้เปิดตัว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไมเนอร์เชน กันซะที หลังจากกันนานหลายเดือนเลยทีเดียว
สก็อต เฟอร์เรียร์ ผู้จัดการฝ่ายออกแบบ ฟอร์ด ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา กล่าวว่า
"การออกแบบใหม่ในรถเอเวอเรสต์รุ่นปี 2009 ถูกปรับปรุงให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น ขณะที่สมรรถนะ
และความคล่องตัวยังคงอยู่ภายใต้มาตรฐานชั้นยอดของฟอร์ด เอเวอเรสต์ เช่นเดิม เพียงแต่เราเติมสัมผัส
ของงานดีไซน์ที่ทันสมัยเพื่อทำให้รถดูดีมีสไตล์มากขึ้น โดยนำเอางานออกแบบใหม่ๆ
มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งที่มีอยู่แล้วในฟอร์ด เอเวอเรสต์ ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น"
" เป้าหมายในการออกแบบของเราคือการเสริมความแข็งแกร่งและพละกำลังที่มีอยู่ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์
ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น" เฟอร์เรียร์ กล่าว "เราเชื่อว่ารายละเอียดเหล่านี้เข้ากันได้ดีกับความแข็งแรงและความทนทาน
ของ งานออกแบบตัวถัง ซึ่งจะทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถที่ดึงดูดใจยิ่งขึ้น

การออกแบบของฟอร์ดเอเวอเรสต์ใหม่นั้น ได้แนวคิดมาจากรถกระบะอย่าง"ฟอร์ด เรนเจอร์"
โดยเฉพาะกระจังหน้านั้นเป็นแบบ3แถบ พร้อมสลักตัวอักษรEVERESTโดยเชื่อมต่อกับฝากระโปรงหน้า ทรง Power Dome
ต่อเนื่องไปยังต่อเนื่องไปยังรูปทรงโฉบเฉี่ยวของไฟหน้า นอกจากนี้ แถบแนวนอนยังสื่อถึงความกว้างขวางของตัวรถ
และความมาดมั่น สะท้อนจิตวิญญาณของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพร้อมทุกการผจญภัย

ไฟหน้าโปร่งใสได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อแรงกระแทก พร้อมรายละเอียดของคิ้วไฟหน้า
ที่เน้นความหรูหราเช่นเดียวกับที่เห็นได้จากเครื่องแก้วคริสตัลชั้นดี กรอบไฟหน้าทำจากโครเมี่ยม
เชื่อมต่อกับกระจังหน้า ฝากระโปรง และรูปลักษณ์ "เรียบเนียน" ของบังโคลนที่ให้ความรู้สึกแกร่ง
ชุดโคมไฟตัดหมอกฝังอยู่ภายในกรอบที่เป็นตัวเรือนรูปร่างคล้ายปีกนกสีเงินขนาบสองข้างของ
กระจังหน้าด้านล่างในรุ่น LTD
ล้อขนาด 18 นิ้วที่เป็นมันวาวคือตัวเลือกสำหรับรถในรุ่นท็อป โดยซี่ล้อสีเงินวาวทั้ง 6 ซี่
ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดแบบ 'ไร้ขอบ' แต่ละซี่สลักลวดลายเรียวแหลม (venturi shape)
พร้อมลงสีเทาเข้มทับพุ่งตรงไปตัดสีกับขอบยางใหญ่ขนาด 255/60R18 ล้อรุ่นนี้
เคยผ่านตาสาธารณชนกันมาแล้ว ในรถกระบะต้นแบบ เรนเจอร์ แมกซ์ โชว์ทรัค
ที่ในงาน Motor Expo 2008 เมื่อ เดือนธันวาคม 2008 ที่ผ่านมา

ส่วนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วใหม่ภายใต้การออกแบบซี่ล้อแบบ 6 ซี่ที่เป็นเอกลักษณ์
คือล้ออัลลอยสำหรับรุ่นมาตรฐานที่เข้ากันกับยางขนาด P245/70R16

ตัวถังด้านข้างของฟอร์ด เอเวอเรสต์ เผยความโดดเด่นด้วยโป่งซุ้มล้อที่สะท้อนความแกร่ง
สื่อถึงจุดยืนด้านความสามารถในการควบคุมทิศทางระหว่างขับบนถนนและประสิทธิภาพ
ในการขับขี่แบบออฟโร้ด และเมื่อมองจากด้านข้าง กระจกเคลือบสีจางๆ เสริมภาพความพิเศษ
แบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี กาบตกแต่งเหนือบังโคลนสีเดียวกับตัวถังด้วย

มุมมองด้านข้างของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ประกอบด้วยรายละเอียดสะดุดตามากมาย
แต่ละชิ้นส่วนเลือกใช้โทนสีของโลหะและโครเมี่ยมที่ตัดกันเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์
แบบเดียวกับการเปล่งประกายของ เครื่องประดับ ในโลกแห่งแฟชั่น

บังโคลนหน้าของฟอร์ด เอเวอเรสต์ โดดเด่นด้วยช่องระบายอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ ล้อมรอบด้วย
กรอบสีเงินด้านรองรับตราสัญลักษณ์ของเอเวอเรสต์ที่เป็นตัวหนังสือสีดำบนพื้นโครเมี่ยมแฝงตาข่ายสีดำ

แร็คบรรทุกของบนหลังคา ช้วัสดุสีเงินด้านตัดกับก้านรองรับน้ำหนักสีดำ ความยาวของแร็คหลังคา
เริ่มต้นจากเบาะนั่งแถวหน้ายาวไปจรดส่วนท้ายของรถให้ความรู้สึกมีสไตล์และใช้ประโยชน์ได้จริง

อีกรายละเอียดที่น่าสนใจของฟอร์ด เอเวอเรสต์ คือบันไดข้างอลูมิเนียมที่ยื่นออกมาจากตัวรถแต่งลาย
เป็นร่องด้านบนเพื่อการรองรับที่มั่นคงและเพิ่มความสวยงาม ทั้งยังยกตัวขึ้นไปขนานกับกรอบล่างของประตูรถ
เพิ่มความกลมกลืนกับโป่งซุ้มล้อทั้ง 2 ด้าน ปลายบันไดหุ้มด้วยวัสดุสีไทเทเนียมตัดกัน

กระจกมองข้างตกแต่งด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจและสามารถใช้งานจริง โดยกรอบกระจกด้านล้างใช้วัสดุสีดำด้าน
ขณะที่ส่วนบนเป็นโครเมี่ยมฝังไฟเลี้ยวในตัว และสำหรับรุ่น LTD บริเวณด้านล่างของก้านกระจกยังมีไฟส่องสว่าง
เพื่อความปลอดภัยขณะขึ้น-ลงในที่มืด โดยไฟจะทำงานอัตโนมัติเมื่อปลดล็อกประตูด้วยรีโมต คอนโทรล

กระจกหน้าต่างด้านหลัง แบบ 'โอบรอบ' ที่ชาญฉลาดทำให้เกิดความกลมกลืนแบบไร้รอยต่อจากมุมมองด้านข้าง
ของตัวรถไปถึงด้านหลัง เข้ากันกับไฟท้ายใหม่ที่ถูกยกให้สูงขึ้น ชิ้นส่วนที่มีประโยชน์ใช้สอยหลากหลายอันประกอบด้วย
ไฟส่องสว่างท้ายรถ ไฟเบรก และไฟเลี้ยว ได้รับการปกป้องภายในกรอบกระจกใสตัดขอบสีดำ ทุกชิ้นส่วน
ได้รับการออกแบบบางเฉียบเพื่อให้พื้นผิวของกรอบไฟกลมกลืนในระนาบเดียวกันกับกระจกด้านข้าง
ต่อเนื่องมายังกระจกหลัง ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของกระจกใสที่โอบรอบรถทั้งคันเหนือแนวเส้นด้านข้าง (belt line)
ชุดไฟท้าย อยู่ในระดับสูง ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เห็นอย่างชัดเจน (ไฟเบรกดวงที่สามอยู่ตรงกลางด้านบนกระจกหลัง)

เทคนิคการออกแบบที่ให้ความรู้สึกกลมกลืนโอบล้อมรอบรถทั้งคัน (wraparound effect)
นับว่าเป็นทิศทางการออกแบบสำคัญ ในรถเอสยูวีของฟอร์ดที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด
ไม่ว่าจะเป็นร่องเล็กๆ บนไฟท้ายไปจนถึงการออกแบบตัวถังด้วยมุมตัดจากด้านข้าง
มายังท้ายรถอย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ในการออกแบบท้ายรถใหม่ทั้งหมดของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ประกอบด้วย
- ฝาครอบล้ออะไหล่บริเวณท้ายรถใหม่ที่สะดุดตายิ่งขึ้น ด้วยลวดลายภูเขาโดดเด่นไม่เหมือนใคร
เส้นสายในแนวนอนทั้งด้านบนและล่างเข้ากันได้ดีกับแนวเส้นด้านข้างตัวรถ

- มือจับประตูท้ายรถชุบโครเมี่ยมประดับตราสัญลักษณ์บลู โอวอล ของฟอร์ด
พร้อมไฟส่องสว่างป้ายทะเบียนรถที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง

- กันชนท้ายแบบสามชิ้นใหม่สีเดียวกับตัวรถ พร้อมกล้องมองหลังและไฟถอยหลัง กาบตกแต่งท้ายรถ
สีเดียวกับตัวรถเข้ากับกันชนท้ายอย่างสมส่วน โดยตกแต่งสัญลักษณ์เอเวอเรสต์อย่างโดดเด่น

"ส่วนประกอบทั้งหมดนี้ เมื่อเวลาที่ขับรถตามหลังรถคันนี้ คุณจะสังเกตเห็นจุดเด่นต่างๆ
ที่ทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่คือ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่" เฟอร์เรียร์ กล่าว "แน่นอนว่านี่คือ ลุคใหม่ล่าสุด"

ขณะที่ห้องโดยสารของฟอร์ดเอเวอเรสต์นั้น ได้ถอดแผงคอนโซลหน้ามาจากฟอร์ด เรนเจอร์ แต่ใส่ลายไม้เพิ่มเข้ามาในแผงคอนโซลหน้า(เหมือนอีซูซุ มิว-7)
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ มีระบบปรับอากาศที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้โดยสารทั้ง 7 ที่นั่ง
ได้รับความเย็นสบายตลอดทั้งคัน ด้วยช่องแอร์เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารในแถวที่สองและสาม

แผงควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในออกแบบมาอย่างทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งาน พร้อม
ระบบนำทางผ่านดาวเทียมแสดงผลบนหน้าจอทัชสกรีนขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่น DVD CD MP3 ของ ALPINE
ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการเลือกเส้นทางแก่ผู้ขับขี่

และยังมีจอติดตั้งบนเพดาน เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสารในแถวที่สองและสาม
นอกจากนี้ บริเวณท้ายรถยังมีกล้องมองหลังแบบมุมกว้าง พร้อมแสดงผลบนหน้าจอ
แบบอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยในขณะถอยหลัง

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยภายใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาด
และยังมีถาดวางของเอนกประสงค์ที่รับน้ำหนักได้มากถึง 10 กิโลกรัม เพียงพอสำหรับการรับประทานอาหาร
ในรถหรือใช้วางเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา ขณะที่ช่องเก็บของบริเวณประตูถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นเอสยูวีสำหรับครอบครัวรุ่นแรกและรุ่นเดียวในตลาด
ที่ติดตั้งถุงลมนิรภัย ทั้งด้านหน้าและด้านข้างจำนวน 4 ใบ

ถุงลมนิรภัยแบบ 2 จังหวะสำหรับที่นั่งด้านหน้าของคนขับ (ความจุ 45 ลิตร) และผู้โดยสาร (70 ลิตร)
ส่วนถุงลมนิรภัยด้านข้างขนาดความจุ 18 ลิตร สำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบมา
เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นบริเวณศีรษะและทรวงอกจากการชนด้านข้าง เสริมการทำงานกับเข็มขัดนิรภัย
แบบ 3 จุด โดคู่หน้าติดตั้งระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner & Load Limiter)

ความปลอดภัยบริเวณตัวถังเกิดจากการทำงานของคานเหล็กนิรภัยกันกระแทกด้านข้าง
และคานของเสา A, B และ C-pillars ที่สามารถกระจายแรงจากการชนออกจากห้องโดยสาร
และช่วยลดแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของทั้งคนขับและผู้โดยสาร

อุปกรณ์ความปลอดภัยก่อนการชนที่ช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุให้แก่ผู้ขับขี่ประกอบ
ด้วยระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS)
และระบบกระจายแรงเบรก (Electronic Brake force Distribution - EBD)
พร้อม G-sensor รวมทั้งระบบ LSPV (Load-sensing
Proportioning Valve)
ควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกตามน้ำหนักบรรทุกเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก
เพื่อความมั่นใจสูงสุด ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ยังติดตั้งระบบป้องกันการโจรกรรม (Passive Anti-Theft System - PATS)

ที่มีการฝังชิพคอมพิวเตอร์ในกุญแจสตาร์ทซึ่งจะอ่านรหัสกุญแจกับตัวรถ ถ้ารหัสตรงกันจึงจะสตาร์ทได้
โดย PATS จะทำงานต่อเนื่องกับสัญญาณเตือนภัยบริเวณรอบตัวรถ



ฟอร์ด เอเวอเรสต์ มาพร้อมทางเลือกของเครื่องยนต์ดูราทอร์ค คอมมอนเรล 16 วาล์วที่ให้การตอบสนองรวดเร็ว
ซึ่งต่างให้แรงบิดเหนือชั้นพร้อมประการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล ทั้ง 2 ขนาด คือ

- เครื่องยนต์ DuraTorq คอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร 143 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดที่ 330 นิวตัน-เมตร
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 8.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (11.36 กม. /ลิตร)
เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังจะวิ่งได้ระยะทาง 678 กิโลเมตร

- เครื่องยนต์ DuraTorq คอมมอนเรล ขนาด 3.0 ลิตร 156 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดที่ 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,800 รอบต่อนาที
รุ่น 4x4 พร้อมเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 9.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (10.82 กม. /ลิตร)
เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังจะวิ่งได้ระยะทาง 644 กิโลเมตร สูงกว่ารถเอนกประสงค์ในระดับเดียวกันมากกว่า 10%
ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ได้เปรียบในด้านการตอบสนองที่รวดเร็ว และเป็นรถที่ขับสนุก ให้ความมั่นใจสูงสุด
ในการแร่งแซงบนท้องถนนและการรับมือกับสภาวะการขับขี่ แบบออฟโรด
(ความจุถังน้ำมันของฟอร์ด เอเวอเรสต์ อยู่ที่ 71 ลิตร)


ฟอร์ด เอเวอเรสต์รุ่นปี 2009 มาพร้อมตัวเลือกในรุ่นขับเคลื่อนแบบสองล้อและสี่ล้อ
พร้อมระบบขับเคลื่อนที่มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติในรุ่น 4x4 มาพร้อมกับระบบ electronic shift-on-the-fly
ที่สามารถปรับเปลี่ยนระบบการขับเคลื่อนระหว่างขับสองล้อและสี่ล้อได้ในขณะที่รถวิ่ง
เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน และยังใช้ชุดเกียร์ทรานสเฟอร์สุดแกร่งระดับโลกจาก Borg-Warner

ระบบเกียร์อัตโนมัติได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับแรงบิดของเครื่องยนต์ดูราทอร์ค คอมมอนเรล
ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการเปลี่ยนเกียร์จึงอยู่ในระดับสูง ระบบเกียร์ธรรมดาใช้ระบบ
การถ่ายทอดกำลังแบบ Dual-mass flywheel และเฟืองเกียร์แบบ triple-cone synchronizers ในเกียร์หนึ่งและสอง
ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ง่ายขึ้นและขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลยิ่งขึ้น

ระบบช่วยกระจายแรงบิดและป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ torque-sensing limited slip differential
แบบ 2 ทางที่ติดตั้งบริเวณเพลาหลังช่วยกระจายแรงบิดระหว่างล้อคู่หลังให้ยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม
และเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำแม้จะขับด้วยความเร็วสูง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ มีสีตัวถังให้เลือก 5 สี ได้แก่ โดยมีสีใหม่ คือ สีน้ำตาล Desert Bronze
รวมทั้งสีขาว Cool White, สีเงิน Highlight Silver, สีทอง Gloming Silver, และสีดำ Black Mica


ราคาของ เอเวอร์เรสต์ใหม่ มีดังนี้

- รุ่น 4X2 2.5 XLT ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์ธรรมดา ราคา 959,000 บาท
- รุ่น 4X2 2.5 XLT AT ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ราคา 1,029,000 บาท
- รุ่น 4X2 2.5 LTD AT NAVI ขับเคลื่อน 2 ล้อ + ระบบนำทางผ่านดาวเทียม (GPS) Entertainment ราคา 1,126,000 บาท
- รุ่น 4X4 3.0 LTD AT NAVI ขับเคลื่อน 4 ล้อ + ระบบนำทางผ่านดาวเทียม (GPS) Entertainment ราคา 1,226,000 บาท

พิเศษสุดในช่วงเปิดตัว แถมโปรแกรมฟรีค่าบำรุงรักษา 5 ปี
พร้อมขยายเวลารับประกันตัวรถเป็น 5 ปี วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2552

๐๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒

TOYOTA COROLLA ALTIS 2.0 เสริมทัพซีดานแห่งสมรรถนะ

TOYOTA COROLLA ALTIS 2.0 เสริมทัพซีดานแห่งสมรรถนะ

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัว
โคโรลล่า อัลติส 2.0 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี
DUAL VVT-I 141แรงม้า พร้อมกับการปรับอุปกรณ์ในรุ่นต่างๆ

โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส ใหม่ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมปี2551 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โดยมียอดขายตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้นกว่า 37,000 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2552)

และเมื่อช่วงกลาง
ปี โตโยต้าได้แนะนำ
โคโรลล่า อัลติส รุ่นSS-1 เพื่อทางเลือกของคนที่ชอบสีขาว


โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส 2.0 ใหม่เปิดตัวถึง 3 รุ่นย่อยคือ 2.0G, 2.0V และรุ่นสูงสุด 2.0V NAVI ภายนอกผสานรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตมากขึ้น ด้วยชุดสปอยเลอร์รอบคัน เช่นกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยลายตาข่ายดูสปอร์ตดุดันสำหรับรุ่น 2.0V NAVI ส่วนรุ่น 2.0G, 2.0V กระจังหน้าเป็นแบบลายซี่ แนวนอนสีโครเมี่ยม ส่วนชุดสเกิร์ตหน้า ด้านข้าง และหลังช่วยเพิ่มมุมมองให้รถดูสปอร์ตมากขึ้น สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกหลังแบบแอลอีดีโดดเด่นสะดุดตา ทั้งหมดติดตั้งเฉพาะรุ่น 2.0V และรุ่น 2.0V NAVI เช่นเดียวกัน

ชุด ไฟหน้าเป็นแบบ HID ปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติให้ความสว่างชัดและกว้างไกลพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้า อัตโนมัติสำหรับรุ่น 2.0V และรุ่น 2.0V NAVI เท่านั้น ส่วนรุ่น 2.0G ไฟหน้าเป็นแบบฮาโลเจนธรรมดา ไฟตัดหมอกทรงกลมเพิ่มความปลอดภัยในการขับ กระจกมองข้างพร้อมไพเลี้ยว ปรับและพับไฟฟ้า ใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยเป็น
อุปกรณ์มาตรฐานทั้ง 3 รุ่น






ภายในติดตั้งอุปกรณ์แบบครบครันตั้งแต่เบาะนั่งหุ้มหนังปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางเฉพาะผู้ขับสำหรับรุ่น 2.0V และรุ่น 2.0V NAVI เท่านั้น พวงมาลัยทรงสปอร์ตแบบ 3 ก้านหุ้มหนังปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง และควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับ พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ PADDLE SHIFT เป็นมาตรฐานทั้ง 3 รุ่น แต่สำหรับรุ่น 2.0V NAVI จะเพิ่มปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์มาให้ด้วย

ส่วนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CRUISE CONTROL) มีเฉพาะรุ่น 2.0V และรุ่น 2.0V NAVI

ระบบ เปิดประตูอัจฉริยะ SMART ENTRY สะดวกสบายด้วยระบบควบคุมการล็อกและปลดล็อกประตู รวมทั้งกระจกหน้าต่างทั้ง 4 บานและฝากระโปรงท้ายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมระบบสตารต์อัจฉริยะ PUSH START เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้ง 3 รุ่น

ใน รุ่น 2.0V NAVI ระบบเครื่องเสียงติดตั้งมาเป็นแบบวิทยุ DVD/VCD/CD/MP3/WMA พร้อมทั้งระบบเนวิเกเตอร์ และระบบเชื่อมต่อ HAND-FREE แบบไร้สายควบคุมผ่านจอ LCD แบบสัมผัส





เครื่องยนต์รหัส 3ZR-FE แบบเบนซิน 4 สูบ DOHC วาล์วแปรผัน DUAL VVT-I ความจุ 1,987 ซีซี 141 แรงม้า
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.3 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที


ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ Super ECT แบบ Gate-Type
พร้อมระบบSequential Shiftและ Paddle Shift ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย



ระบบ กันสะเทือนหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัตพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกหน้าแบบดิสก์ พร้อมช่องระบายความร้อน และด้านหลังแบบดิสก์ พร้อมระบบABS, EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งสามรุ่น

ส่วน ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (VEHICLE STABILITY CONTROL )และระบบ TRC (TRACTION CONTROL)
ติดตั้งเฉพาะรุ่น 2.0V และรุ่น 2.0V NAVI เท่านั้น


โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส 2.0 ใหม่ ตั้งราคาสำหรับรุ่น 2.0G ไว้ที่ 949,000 บาท รุ่น 2.0V ราคา 1,044,000 บาท
(สำหรับทั้งสองรุ่นหากต้องการสีขาวมุกต้องเพิ่มเงินอีก 10,000 บาท) และรุ่นสูงสุด 2.0V NAVI ราคา 1,184,000 บาท


ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดกับโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส 2.0 ใหม่ ได้ในงาน โตโยต้า มอเตอร์ สปอร์ต เฟสติวัล 9-10 พฤษภาคม 2552 ที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก หรือทดลองขับ
และจับจองเป็นเจ้าของในงาน
TOTALLY YOU TOYOTA AHEAD ในวันที่...

- 13-18 พฤษภาคม 2552 ห้างสรรพสินค้าซีคอนแสควร์
- 20-26 พฤษภาคม 2552 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว
- 28 พฤษภาคม-3 มิถุนายน 2552 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ปินเกล้า