AUTO THAILAND's Fan Box

AUTO THAILAND on Facebook

Facebook Fanpage QR Code

qrcode

เจอกันที่ใหม่ จัดเต็มกว่าเดิม!

๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๓

Honda Jazz Active Plus :Import ชุดแต่งจากญี่ปุ่น กระตุ้นตลาดให้ฮอนด้า!!


Honda Jazz ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดในรถขนาด B-segment  
เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003 โดยในช่วงนั้นได้ใช้เครื่องยนต์ i-DSi
ต่อมาปี 2004 ก็ได้เพิ่มเครื่องยนต์ในตระกูล i-Vtec เข้ามาเพิ่มทางเลือก
จนปี 2008 Honda Jazz ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวรุ่นที่ 2 ในเมืองไทย
ทำให้กระแสแจ็ส ฟีเวอร์นั้นเป็นเทรนด์ทันทีแม้ก่อนเปิดตัวประมาณ 1 เดือน


แต่ว่า!พอมาปี 2009 ก็มีอาการสะดุด เนื่องจากกระแสของมาสด้า 2 นั้นมาแรง
จนทำให้ยอดขายนั้นตกเป็นรองของมาสด้า 2 ดังนั้นหากปล่อยไว้อาจจะยาก
ที่จะท้วงความเป็น 1 ในตลาด B-segment ฮอนด้าก็เลยส่ง
รุ่นพิเศษในนาม Active Plus เพื่อกระตุ้นตลาด

๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓

อีซูซุตอกย้ำความประหยัดกับคาราวานน้ำมันถังเดียเที่ยวไกลถึงจีน

อีซูซุตอกย้ำผู้นำรถปิกอัพและรถอเนกประสงค์ยอดประหยัดน้ำมันด้วย
การจัดคาราวานน้ำมัน 1 ถังเที่ยวไกลถึงจีน บนเส้นทางสุดโหด
โดยการขับขี่ครั้งนี้ได้เชิญผู้ที่ใช้รถอีซูซุมาทดสอบความประหยัด
ด้วยรถอีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์แพลททินั่ม จำนวน 7 คัน
(รุ่น Spark,Hi-lander,Cab-4,Space Cab และ Rodeo)
และ อีซูซุ มิว-7 รุ่น Primo 1 คัน ทั้งนี้นอกจากการเป็นการรณรงค์
ประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย
การทดสอบครั้งนี้รถที่ทดสอบนั้นเป็นรถที่ไม่มีการปรับจูนเครื่องยนต์
แต่อย่างใดเครื่องยนต์ที่ใช้ในการทดสอบนั้นมีขนาดคือ 3.0 Ddi VGS Turbo
3.0 Ddi และ 2.5 Ddi มร. เอช. นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัดได้กล่าวที่มาของการเดินทางครั้งนี้สั้นๆ ว่า
“อีซูซุเลือกเส้นทางนี้ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก คดเคี้ยว สูงชัน 
อีกทั้งยังจอแจด้วยสภาพการจราจร นั่นเป็นเพราะเราอยากพิสูจน์ให้
ทุกคนเห็นว่า ผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริง แม้ว่าจะขับอยู่ในเส้นทางที่ลำบาก
ขนาดไหนก็ยังสามารถใช้วิธีการขับประหยัดน้ำมันอย่างได้ผล 
และเป็นการท้าทายสมรรถนะของรถอีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล”


ขบวนคาราวานเริ่มต้นที่หอวัฒนธรรมเชียงราย ซึ่งอดีตเป็นศาลากลางหลังเก่า
 โดยมีพ่อเมือง - คุณสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
ให้เกียรติมาร่วมในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ครั้งนี้ “นับเป็นความภูมิใจของ
ชาวเชียงรายที่อีซูซุได้เลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นคาราวานจากไทยผ่านลาว
และไปถึงที่หมายที่จีนด้วยความประหยัดน้ำมัน เส้นทางสายนี้ต่อไปจะเป็น
เส้นทางชีวิตของไทยในฐานะประตูสู่นานาชาติ เพราะเชียงราย
ไม่เพียงอยู่ระหว่างขยายถนน 4 เลนที่ไปสู่อำเภอเชียงของ
ที่มีท่าเรือสำหรับข้ามไปยังบ้านห้วยทรายของลาวแล้ว
ต่อไปยังจะสะดวกขึ้นเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งอยู่ที่
 อ.เชียงของ จ.เชียงรายจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2555”

๐๙ มิถุนายน ๒๕๕๓

โตโยต้าชี้แจงกรณีย้ายฐานการผลิตฟอร์จูนเนอร์ ยืนยันไม่เป็นความจริง

ข่าวนี้นั้นผมเองก้ได้รับจากทาง twitter ซึ่งผมเองก็ได้รับทราบข่าวนี้
จนผมเองก็งงอยู่ ผมเอาข้อความจาก timeline ของผมนะครับ
"RT @bbonly: RT @Neaw_NBC: TOYOTAย้ายฐาน
ผลิตฟอร์จูนเนอร์ไทยไปอินโดสค.นี้เหตุไร้เสถียรภาพการ
//เอาจริงหรือนั่น?//รอ TMT ชี้แจงก่อนครับ"


และสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นข่าวลือนั้นผมเดาถูกซะด้วย
แต่ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปในวงกว้าง จนทำให้ทางโตโยต้าเอง
ต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วนเลยก็ว่าได้ก่อนที่ถูกอย่างจะแย่กว่าเดิม 

งานนี้คุณนายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส  
บ. โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ยืนยันว่า"ข่าวนี้ไม่เป็นความจริง"
"เพราะเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โตโยต้าได้ย้ายไลน์การผลิตรถกระบะ
และรถอเนกประสงค์จาก บริษัท ไทยออโต้เวิร์คส จำกัด ไปยังโรงงานประกอบ
รถยนต์ โตโยต้าบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นโรงงานที่ใช้เป็นฐานการผลิต
เพื่อการส่งออกสำหรับรถในโครงการ ไอเอ็มวี หรือ Innovative International Multipurpose Vehicle โดยขณะนี้ ได้เริ่มทำการผลิตรถกระบะ 
และรถอเนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ เพื่อตอบสนองต่อยอดสั่งซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดต่างประเทศ และตลาดภายในประเทศ"

“โดยตลาดต่างประเทศ การส่งออกรถในโครงการ ไอเอ็มวี มีอัตรา
การเจริญเติบโต ณ ปัจจุบันที่สูงถึง 55% เมื่อเทียบกับ สถิติการส่งออกใน
ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการภายในประเทศ 
ก็ยังมียอดค้างจองที่มากถึงกว่า 2 เดือน โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้เพิ่มกำลัง
การผลิตจาก 1 กะ เป็น 2 กะ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดดังกล่าว”
นายวุฒิกร กล่าวสรุป

 

Ford Escape MinorChange:ปรุง เคเนอติก ดีไซน์ ให้โดดเด่นขึ้น แต่ราคาเท่าเดิม

เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ขณะที่ผมท่องเน็ตค่ายรถยนต์ในต่างประเทศ
แต่ละค่ายนั้น ผมก็สะดุดกับเว็บฟอร์ดในประเทศออสเตรเลียเมื่อเข้าไปปุ๊ป
พบว่า"ฟอร์ด เอสเคป"ได้ไมเนอร์เชน เพียงเปลี่ยนเปลือกกันชนด้านหน้า
 ผมก็เลยคิดว่า"ถ้าเข้ามาในไทย คงต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ"แต่แล้วคำที่ผม
พูดไปนั้นดันเป็นจริงซะด้วยเอาล่ะซิทายแม่นขนาด พอถัดมาประมาณ
2-4 สัปดาห์ ฟอร์ด ประเทศไทย ก็เข็นเจ้าเอสเคปโฉมใหม่แบบเงียบๆ


ต้องบอกก่อนว่าฟอร์ด เอสเคปนั้นเปิดในเมืองไทยครั้งเมื่อปี 2003
ซึ่งถ้าจำกันได้จะเห็นรถเอสเคปนั้นวิ่งบนถนนเห็นบ่อยมากๆ
ซึ่งถือว่าช่วงนั้นต้องเรียกว่า"เอสเคป ฟีเวอร์"เลยก็ว่าเพราะ
ประสบความสำเร็จมากๆ นับเป็นช่วงที่ถือว่าเอสเคปกำลังไปได้สวย
แต่พอมาปี 2005 โตโยต้าได้เปิดตัว"ฟอร์จูนเนอร์"ยอดขายเจ้าเอสเคป
นั้นตกลงอย่างน่าตกใจ เหตุอันเนืองมาจากลูกค้าหันมาใช้ SUV ขนาดใหญ่
ดังนั้นฟอร์ดจึงไมเนอร์เชนเอสเคปรอบแรกเมื่อปี 2007 แต่ก็ยังเงียบอยู่
พอมาปี 2008 ฟอร์ดได้เปิดตัวแบรนด์แอมบัสเดอร์คนแรกของฟอร์ดในไทยคือ
"ทาทา ยัง"ซึ่งก็ช่วยกระตุ้นยอดขายของฟอร์ดได้ระดับหนึ่ง
แต่ก็ไม่ได้ตามเป้าก็เลยไมเนอร์เชนรอบ 2 ในปีเดียวกัน ครั้งนั้นถ้าจำได้
ฟอร์ดได้นำเอสเคปมาทำเป็นบอลลูน ซึ่งเป็นครั้งแรกในโลกที่เอา
รถมาติดบอลลูน จนถึงตอนนี้เอสเคปมีอายุการทำตลาดในไทย
มาเป็นเวลา 7 ปี แล้วพอมาปีนี้ฟอร์ด ประเทศไทยได้เปลี่ยนสโลแกนใหม่จาก
"ให้ทุกวันเป็นวันของคุณ Make Your Everyday"มาเป็น"Feel The Different"
เพื่อต้อนรับการมาของ ฟอร์ด เฟียสต้า ที่จะมาในช่วงสิงหาคมนี้
ดังนั้นฟอร์ด เอสเคปจึงต้องปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า
รวมไปถึงภาพลักษณ์ของรถแต่ล่ะรุ่นนั้นได้ใช้ดีไซน์แบบ เคเนอติก ดีไซน์
ดังนั้นเอสเคปจึงขอแจมด้วย!!


สำหรับ ฟอร์ด เอสเคป รุ่นปี 2010 นั้นการเปลี่ยนแปลงคงไม่ต้องพูดอะไรมาก
เพราะรุ่นนี้เปลี่ยนแค่ด้านหน้าและล้อแม็กเท่านั้น ด้านหน้านั้นมีการเปลี่ยน
กระจังหน้า กันชนหน้าและไฟตัดหมอกให้สอดคลองกับตัวรถที่ความเป็น
เคเนอติก ดีไซน์มากขึ้น(รถฟอร์ดรุ่นใหม่นั้นตัวดักลมใต้กระจังหน้าจะใหญ่)
ส่วนล้ออัลลอยด์นั้นเป็นขนาด 16 นิ้ว 5 ก้าน ซึ่งเป็นแม็กรุ่นเดียวกับ
2.3 XLT 2WD เมื่อรุ่นปี 2008 พอมารุ่นปี 2010 ล้อลายนี้ก็เป็นเดียวกันทุกรุ่น 


สำหรับเครื่องยนต์ของฟอร์ด เอสเคปใหม่นั้นก็ยังคงเป็นบล็อกเดิม
คือเครื่องยนต์ขนาด 2,300 ซีซี แบบ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT
ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร 
สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 ได้

ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเติมเต็มความเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ด้วย
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Control Trac II แบบ On Demand จึงสามารถล็อค
ระบบส่งกำลังให้ทำงานแบบ 50 / 50 ซึ่งโดยปกติจะขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น
เพิ่มความปลอดภัย และประสิทธิภาพการเกาะถนนสูงสุด ในการขับขี่
แบบออฟโรด สะท้อนความเป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ตัวจริง 


  
ฟอร์ด เอสเคปใหม่ มาพร้อมระบบความปลอดภัย ที่ครบครัน 
ทั้งระบบเบรก ABS และ พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นมาตรฐานสำหรับ 
ฟอร์ด เอสเคปใหม่ทุกรุ่น นอกจากนี้ยังเพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง
สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า (ในรุ่น XLT) และมอบทัศนวิศัย
ในการขับขี่ที่ดีด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น (210 มม.)

 นอกจากนี้ เอสเคปใหม่ ยังเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วย
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (cruise control) พร้อมอุปกรณ์
ความสะดวกสบายภายในอย่างครบครัน อาทิ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ
เครื่องเล่น CD แบบ 6 เเผ่น 6 ลำโพง พร้อมแผงควบคุมบนพวงมาลัย
สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง กระจกปรับและพับแบบไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น XLT) 
ทั้งยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบสุด 5.4 เมตร


สำหรับ ฟอร์ด เอสเคป รุ่นปี 2010 ถึงแม้มีการปรับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ 
แต่ราคายังคงเหมือนรุ่นก่อน ไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย ซึ่งมีให้ 3 รุ่น มีดังนี้

2.3L XLT 4WD AT  1,279,000 บาท 
2.3L XLT 2WD AT 1,179,000 บาท
2.3L XLS 2WD AT  1,099,000 บาท  

ถ้าใครสนใจอยากจะเห็นตัวจริงของ ฟอร์ด เอสเคป รุ่นปี 2010 
ได้ที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ ส่วนใครที่คิดว่าถ้าซื้อตอนนี้คงตกรุ่นแน่ๆ
บอกไว้เลยว่าเอสเคปรุ่นต่อไปไม่มีก่อนปี 2012 !! 



๐๕ มิถุนายน ๒๕๕๓

Honda Racing Fest 2010 ยกระดับความแรงกับซีวิคพลังใหม่ 225 แรงม้า!!!

ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ได้จัดแถลงข่างงาน ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส 2010
ซึ่งปีนี้ไฮไลท์เด็ดอยู่ที่ Civic One Make Race ที่ได้อัพเครื่องยนต์จาก
1.8 L เป็น 2.0 L รหัส K20A FD2 Type-R รีดแรงม้าได้ 225 แรงม้า
พร้อมกับการเปิดตัวสนามเฉพาะกิจแห่งใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2553 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ได้จัดงานแถลงข่าวงาน Honda Racing Fest 2010 ซึ่งเป็นปีที่ 4 
ซึ่งปีนี้ได้ยกระดับความันส์ขึ้น ความสนุกมันส์กว่าปีไหนๆ 
และตื่นเต้นที่สุดงานหนึ่งของประเทศไทยและได้รับความนิยมอย่างสูง
จากนักแข่ง รวมไปถึงแฟนๆกีฬามอเตอร์สปอร์ต
สำหรับไฮไลท์ของปีนี้นั้นอยู่ที่ Civic One Make Race
ที่ปีนี้ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์จากเดิมที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร
มาเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส K20A FD2 Type-R 
ซึ่งเป็นเครื่องตัวเดียวกับ Honda Civic Type-R เวอร์ชั่นญี่ปุ่น
ที่สามารถผลิตแรงม้าได้สูงสุด 225 แรงม้า(165 กิโลวัตต์) 
ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตัน-เมตร ที่ 6,100 รอบ/นาที
ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่เคยใช้ในการแข่งขันวันเมคเรซใน
ประเทศไทย เพียงแค่นี้ก็พอจะการันตรีความมันส์ได้แล้วว่า
การแข่งขันในรุ่นนี้จะเร้าใจผู้ชมขนาดไหน 

 
มร. อาซึชิ ฟูจิโมโตะ  ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ยังได้ฝากมาบอก บรรดาลูกค้า ฮอนด้า ที่รักกีฬามอเตอร์สปอร์ตว่า
เป็นโอกาสดีที่ ฮอนด้า จะได้พิสูจน์ถึงเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และสมรรถนะของ
รถยนต์การแข่งขันรถยนต์  ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส นับว่าเป็นการแข่งขันรถยนต์
ที่ได้รับความนิยมจากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย และครั้งนี้
เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์การแข่งขันที่เร้าใจแก่ผู้เข้าแข่งขัน 
และผู้เข้าชมการแข่งขัน ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่เร้าใจกว่าเก่าในรุ่น
ซีวิค วันเมคเรซที่มีแรงม้าสูงถึง 225 แรงม้า และอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับ
ความสนใจอย่างท่วมท้นไม่แพ้ รุ่น ซีวิค วันเมคเรซ คือ การแข่งขัน
แจ๊ซ วันเมคเรซ ปีนี้มีนักแข่งสมัครร่วมชิงชัยมากมาย มีรถลงแข่งใน
รุ่นนี้ 20 คัน (คลาส ซี) พร้อมสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เต็มเปรี่ยมไปด้วย
เทคโนโลยีที่มีแรงม้าสูงถึง 225 แรงม้า 


ความเข้มข้นของการแข่งขันปีนี้
ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดของฮอนด้า การแข่งขัน แจ๊ซ วันเมคเรซ และ
ซีวิค วันเมคเรซ จะเข้มข้นเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันจะไม่ได้รับอนุญาต
ให้ดัดแปลงรถยนต์ของตนเพิ่มเติม ได้นอกจากการแข่งขันแจ๊ซ วันเมคเรซและ
ซีวิค วันเมคเรซแล้ว ยังมีนักขับมืออาชีพมากกว่า 30 คน ที่เข้าแข่งขันใน
รายการ ฮอนด้า โปรคัพ และนักแข่งมือสมัครเล่นอีกกว่า 30 คนที่
เข้าแข่งขันใน ฮอนด้า คลับเรซ


ความปลอดภัยต้องมาก่อน
มร. ฟูจิโมโตะ ได้พูดถึงเรื่องความปลอดภัยว่า “ความปลอดภัยถือเป็น
สิ่งที่ฮอนด้าให้ความสำคัญในอันดับแรก ซึ่งเราได้ร่วมมือกับทางผู้จัดการ
แข่งขันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส มีมาตรการ
ความปลอดภัยสูงสุดทั้งสำหรับผู้เข้าแข่งขัน และผู้ชม นอกจากนี้ 
เรายังมุ่งให้ผู้เข้าร่วมงานฮอนด้า เรซซิ่ง เฟสทุกคน รวมทั้งนักแข่งแฟนๆ 
มอเตอร์สปอร์ตตลอดจนประชาชนที่สนใจทั่วไปได้รับ
ความสนุกสนานอย่างเต็มที่อีกด้วย” 

สำหรับผู้ชนะการแข่งขันประจำปีในรายการ แจ๊ซ วันเมคเรซ, ซีวิค วันเมคเรซ 
และ ฮอนด้า โปรคัพพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี 
พระวรราชาทินัดดามาตุ ปีนี้ ฮอนด้าตั้งใจจะให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม
ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส ในเรื่องความปลอดภัยในท้องถนนและความปลอดภัยของ
การแข่งและเรียนรู้หลักเกณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นในการควบคุมบังคับรถยนต์
ข้อเตือนในในด้านความปลอดภัย รวมทั้งการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง
เพื่อให้ทราบถึงการแข่งขันควรทำในสนามแข่ง ขันเท่านั้น 
ไม่ใช่บนท้องถนนจะได้รับถ้วยประทานจาก

ผู้ร่วมงาน ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส ในปีนี้จะได้พบกับกิจกรรมที่จัดขึ้นบริเวณ
รอบนอกของ สนามแข่งขัน ซึ่งจะเพิ่มความคึกคัก และมอบประสบการณ์
ความสนุกสนานสำหรับครอบครัวและเด็กๆ ภายใต้บรรยากาศ 
ฮอนด้า ฟัน พาร์ค โดยฮอนด้าจะจัดโซนพิเศษ ที่ประกอบด้วย สวนน้ำ, ดิดโซน
โกคาร์ท, เกมส์โซน, มินิคอนเสิร์ต, ชอปปิ้งสตรีท, ฟู้ดสตรีท และ ออโต้ซาลอน
  ที่แสดงรถยนต์ที่รูปลักษณ์สปอร์ตของฮอนด้า




สำหรับ ฮอนด้า เรซซิ่ง เฟส 2010 จะจัดการแข่งขันทั้งในสนาม
แข่งขันถาวรและชั่วคราวทั้งหมด 5 สนามใน 4 จังหวัด ซึ่งมีดังนี้

สนามที่ 1  สนามแก่งกระจาน เซอร์กิต จ.เพชรบุรี 
วันที่ 20 มิถุนายน 2553 

สนามที่ 2 และสนามที่ 3  สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา
วันที่ 28-29 สิงหาคม 2553 

สนามที่ 4  สนามกีฬาฯ 700 ปี จ.เชียงใหม่ 
วันที่ 10 ตุลาคม 2553 

สนามที่ 5 สนามกีฬาสะพานหิน จ.ภูเก็ต  
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2553

๐๑ มิถุนายน ๒๕๕๓

ไม่เชื่อก็ต้อง!!! Nissan March เติมน้ำมันถังเดียวไปเที่ยวหาดใหญ่แบบชิวๆ


หลังจากที่เปิดตัวอย่างสง่างามสำหรับ Nissan March อีโค่ คาร์ คันแรกในไทย
ที่ทำเอายอดจองนั้นพู่งกระฉูดและมียอดส่งมอบยาวจนถึงปีหน้า แต่หลายคน
ยังมีคำถามคาใจสำหรับใครหลายๆคนคือ"จะขับไปต่างจังหวัดไหวเหรอ??"
  นิสสันไม่รอช้าเลยเชิญสื่อมวลชนพร้อมวิศวกรจาก Nissan Technical Center
South East Asia มาร่วมทดสอบความประหยัดน้ำมันโดย
เส้นทางกว่า 1,000 กม.จากกรุงเทพสู่เมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา ด้วย
น้ำมัน 1 ถังกับ Nissan March 4 คันทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ CVT
โดยได้เริ่มต้นกันที่สนง. Nissan Technical Center South East Asia
ถ.บางนา-ตราด กม. 22 (รถที่ทดสอบนั้นไม่มีการปรับแต่งแต่อย่างใด)


วันแรก กรุงเทพฯ - ประจวบคีรีขันธ์
เส้นทางการทดสอบวันแรกเป็นเส้นทางในเมืองและ ไฮเวย์ 
สภาพการจราจรที่คับคั่งเพราะเป็นช่วงวันแรกของสัปดาห์ 
และยังคงอยู่ในช่วงของการเดินทางของผู้คนในการทำงาน
เป้าหมายของวันแรกของการเดินทางอยู่ที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 
รวมระยะทางทั้งสิ้น 315 กิโลเมตร สภาพถนนทั่วไปเป็นทางราบ
สภาพอากาศโปร่ง ทัศนวิสัยในระดับดี 


 วันที่สอง มุ่งหน้าสู่เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย
ในวันที่สองของการเดินทาง ทีมทดสอบทั้งหมดออกเดินทางจาก
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจังหวัดชุมพร
ประตูสู่ภาคใต้ เพื่อไปสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานีบนทางหลวงหมายเลข 41
เป็นระยะทาง 357 กิโลเมตรสภาพเส้นทางในวันนี้ มีความท้าทาย
ในการทดสอบเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางโค้งทางขึ้น-ลงเขา
  กอรปกับสภาพอากาศที่แปรปรวน มีฝนตกหนักเป็นระยะๆ 
ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการขับขี่ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจาก
รถนิสสัน มาร์ช เป็นรถที่ขับง่าย มีช่วงล่างที่หนึบ การขับขี่ภายใต้สภาพทาง
และอากาศเช่นนี้จึงมั่นใจได้ โดยเมื่อทีมทดสอบทั้งหมดมาถึงที่หมาย 
ระยะทางทดสอบทั้ง 2 วันรวม 672 กิโลเมตร

 
 วันที่สาม พิชิตชัย ที่เมืองหาดใหญ่
วันสุดท้ายของการเดินทาง สภาพเส้นทางของวันนี้ เป็นการมุ่งหน้าสู่
จุดหมายปลายทางที่อำเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สภาพถนนโดยทั่วไป
ไม่ได้ต่างจากวันที่สองมากนัก คือมีลักษณะทั้งทางราบ ทางโค้ง 
ขึ้นและลงเขาเป็นบางช่วง โดยสภาพอากาศที่ทั้งแดดและฝน 
แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการขับบ้าง แต่ทีมทดสอบทั้งหมดก็ได้ไปถึงที่หมาย
ตามเวลาที่กำหนดได้อย่างปลอดภัย ระยะทางของวันสุดท้ายอยู่ที่
331 กิโลเมตรรวมระยะทางทั้ง 3 วัน คือ 1003 กม. โดยตลอด
ระยะเวลาทดสอบ ทีมนักขับได้ใช้เทคนิคการขับขี่แบบ อีโค ไดร์ฟ 
ซึ่งก็คือ การรักษาระดับความเร็ว เพื่อให้รอบนิ่ง เฉลี่ยความเร็วที่ประมาณ
70 กม/ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ไม่มากไม่น้อย ขับได้สบายๆ ตลอดเส้นทาง

ผลการทดสอบ 'ถังเดียวอุ่นใจ ขับไกลกว่าพันกิโล'
โดยสรุป เส้นทางที่ใช้ในการทดสอบตลอดการเดินทาง 3 วันนั้น
เป็นสภาพเส้นทางจริง ที่มีรูปแบบครบที่เราพบได้ในการเดินทาง
ปกติของชีวิตจริง ที่มีสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางตรง 
ทางราบ คดเคี้ยว สลับช่วงเส้นทางเนินขึ้น-ลงบ้างในบางเส้นทาง 
รวมถึงสภาพการจราจรระหว่างวันทั้งช่วงเร่งด่วน รถมาก และสภาพอากาศ
ที่มีทั้งแดด และฝนตกในบางช่วง จุดสิ้นสุดของการทดสอบ
คือที่ผู้แทนจำหน่าย สยามนิสสัน ปัตตานี 2000 อำเภอ หาดใหญ่
จังหวัดสงขลา คณะกรรมการได้ตรวจสอบและแจ้งผลดังนี้

นิสสัน มาร์ช เกียร์ CVT

• คันที่ 1 - 34.83 กม./ลิตร
• คันที่ 2 - 31.44 กม./ลิตร


นิสสัน มาร์ช เกียร์ธรรมดา

• คันที่ 1 - 33.64 กม./ลิตร
• คันที่ 2 - 28.97 กม./ลิตร
 

รถยนต์ นิสสัน มาร์ช ทุกรุ่น ทุกคันที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้เป็นรถยนต์ที่
ไม่ได้การดัดแปลงใดๆ และเมื่อการเดินทาง กว่าพันกิโลเมตร สิ้นสุดลง
นิสสัน มาร์ช ทุกคันยังคงมีน้ำมันเหลืออยู่ และแม้ว่ามาตรฐานที่รถยนต์
อีโค คาร์ จะต้องเป็นรถยนต์ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 20 กม./ลิตร 
แต่เมื่อผู้ขับขี่ใช้เทคนิคในการขับแบบ อีโค ไดร์ฟ ก็จะเป็นการช่วย
ดึงศักยภาพด้านการประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นได้อีก 
 
บทสรุปจากการทดสอบครั้งนี้ นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึง
ความโดดเด่นด้านประหยัดน้ำมันของ นิ สสัน มาร์ช แล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า
มาร์ชเป็นรถที่ขับง่าย ไม่เพียงในแต่ขับสบายในเมือง แต่ผู้ขับขี่สามารถ
มั่นใจในการใช้งานข้ามจังหวัดหรือข้ามเมืองกว่า 1000  กิโลเมตร 
ได้อย่างไร้กังวล รถยนต์รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานและ
การท่องเที่ยวได้ทุกรูปแบบ

“การทดสอบครั้งนี้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพด้านการประหยัดน้ำมัน 
และคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีล่าสุดของ เกียร์อัจฉริยะ Xtronic CVT 
ในนิสสัน มาร์ช ใหม่” มร.คาซึโนริ โทมิมัทซึบริษัท นิสสัน เทคนิคคอล
เซ็นเตอร์ เซาท์อีสต์ เอเชีย กล่าว “นอกจากนี้ การทดสอบ ยังเป็นการช่วยให้
ผู้ขับขี่ได้เข้าใจ และเห็นถึงสมรรถนะและศักยภาพของรถรุ่นนี้ 
ที่สามารถขับขี่ได้ในทุกสภาพถนน และระยะทางไกลด้วย
น้ำมันเพียงหนึ่งถังเท่านั้น”

การทดสอบประหยัดน้ำมัน ท้าพิสูจน์ 1 ถัง 1000 กิโลเมตร เป็นกิจกรรม
ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2552 กับ นิสสัน เทียน่าโดยนำ
แนวทางปฏิบัติจาก บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็น
การพิสูจน์ว่ารถยนต์และรถกระบะนิสสันทุกรุ่น ได้รับการพัฒนาด้าน
การประหยัดน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางของ
บริษัทนิสสันฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนายานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรม ท้าพิสูจน์น้ำมัน 1 ถัง และประสบผลสำเร็จ
เป็นอย่างสูง ด้วยผลลัพธ์ของการประหยัดพลังงานเป็นเลิศของรถยนต์
และรถกระบะนิสสัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น เทียน่า นาวาร่า ทีด้า เอ็กซ์เทรล 
และล่าสุดนี้ก็คือ นิสสัน มาร์ช ใหม่