AUTO THAILAND's Fan Box

AUTO THAILAND on Facebook

Facebook Fanpage QR Code

qrcode

เจอกันที่ใหม่ จัดเต็มกว่าเดิม!

๓๐ มกราคม ๒๕๕๓

Naow27 Auto Talk Show #4 : เกาะติดยามาฮ่า มีโอ 125 ซีซี ใหม่! ตอนแรก


สวัสดีครับชาว tweetple และชาว #twittcm ทุกท่าน 
วันนี้เจอกันเร็วซักนิดนึงนะครับ เนื่องด้วยว่าเมื่อวานนั้น มาไลฟ์ช้ากว่ากำหนด
 ก็ใช้เวลาดังกล่าวในการชดเชยในสิ่งที่ทำไปเมื่อวาน(เฮ้ย! มันด่าตัวเองชัดๆ)
เอาล่ะวันนี้เอาใจแว้นบอย สก็อยเกิรล์บ้าง (เรียกง่ายๆคือคนที่ชอบมอเตอร์ไซด์)
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วงการรถจักรยานยนต์จะร้อนระอุขึ้น 
 เมื่อเจ้าพ่อออโต้อย่างยามฮ่า จะเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่อย่าง"มีโอ"
ที่คราวนี้อัพซีซีให้แรงขึ้นจาก 115 ซีซีเป็น 125 ซีซี  
แต่ยังคงใช้คาบูเรเตอร์เหมือนเดิม

ในขณะที่ฮอนด้าก็เตรียมเปิดตัวออโต้รุ่นเพื่อชนเจ้ามีโอ 125 ซีซี 
แต่มีกระแสว่าจะใช้ระบบโซ่แทนระบบสายพาน แต่ว่าก็ยังไม่ฮือฮาเท่ากับ
การมาของมีโอ 125 ซีซี ที่หลายคนจับตามองกันมากที่สุด
เพราะว่ามีรูป Spy Short เพียงแค่รูปเดียวเท่านั้น จนผู้ที่พบเห็นภาพแล้ว
ไม่สามารถจิตนาการของรูปร่างมัน
(ใครอยากเห็นให้เข้าเว็บ the-cycle.com เดี๋ยวตอนท้ายมีลิ้งค์มาให้ครับ)

สิ่งเดียวที่ทุกคนคาดหวัง(รวมถึงผม)คือรูปร่างอันโฉบเฉี่ยว เท่ห์ สไตล์สปอร์ต
และต้องถูกใจทุกคน รวมไปถึงออฟชั่นที่เพิ่มมากขึ้น แล้วที่สำคัญคือ
ราคาที่ต้องถูกกว่ารุ่นเก่าและคู่แข่ง แต่ว่าวันนี้ผมขอนำเสนอในด้าน
ประวัติของมีโอซะหน่อย ก่อนที่จะพบมีโอรุ่นปี 2010 ในวันที่ 7 ก.พ.53 
(เสาร์หน้าจะมาบอกรายละเอียดคร่าวๆ) 

 ยามาฮ่า มีโอ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003 
โดยได้วงแคลชเป็นพรีเซ็นเตอร์ของรถรุ่นนี้ด้วยความที่มี
รูปทรงที่ปราดเปรียวโดนใจวัยรุ่น  สามารถโกยยอดขายประมาณหมื่นคัน
แล้วพอมาปี 2005 ก็ได้เพิ่มรุ่น MX ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดของมีโอ 
โดยมีล้อแม็กเป็นจุดเด่นของมีโอ รุ่น เอ็มเอ็กซ์ 

 พอมาปี 2007 มีโอก็ได้เปลี่ยนโฉมจากไฟแยกมาเป็นไฟรวมและ
ได้มีการออกแบบใหม่หมดทั้งคัน แต่ยังคงใช้เครื่องยนต์และซีซีแบบเดิม (115ซีซี)
 กระแสหลังจากเปิดตัวก็ขายได้ระดับ
แต่ไม่ค่อยฮือฮามากเหมือนตอนเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003

แล้วล่าสุดเมื่อปี 2009 ยามาฮ่าก็ได้เปิดตัวมีโอใหม่ในงาน ยามาฮ่า ไบค์ เฟรส 
ทำเอาคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยรุ่นใหม่กลับเซงกันเป็นแถว   
เพราะปรับแค่ไฟหน้าที่กลายเป็น 2 ดวงพร้อมกับสติ๊กเกอร์ลายใหม่   
พร้อมกันนี้ได้เพิ่มพรีเซ็นเตอร์อีก 2 คนคือ ดา เอ็นโดฟิน และ แน็ป เรโทรสเปค 
มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วมาถึงตอนนี้มีโอรุ่นเดิมกำลังจะสูญพันธุ์ 
แล้วรุ่นใหม่กำลังจะมาเยือนในอีก 8 วัน
ต้องจับตาให้ดีว่าการมาครั้งนี้จะรุ่งหรือจะแป็ก

ขึ้นอยู่กับการตลาดของยามาฮ่าว่าจะเดินเกมอย่างไร  
ให้สามารถโกยยอดขายได้เยอะ ต้องติดตามในเสาร์หน้ากับ
 เกาะติดยามาฮ่า มีโอ 125 ซีซี ใหม่! ตอนจบ พร้อมรายละเอียดคร่าวๆ
ก่อนพบตัวจริง ในวันที่ 7 ก.พ.53 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ยามาฮ่า
ได้จัดงานฉลองยอดขายรถออโตเมติกกว่า 2 ล้านคัน 
ต้องจับตาดูให้ดีๆสำหรับยามาฮ่า
ขอบอกไว้เลยว่าภายในงานพบกับวาเรนติโน่ รอสซี่ และฮอร์เก้ ลอเรนโซ่ 
นักแข่งมอเตอร์ไซด์ทางเรียบอย่าง MotoGP แบบใกล้ชิด
ใครอยากเจอ 2 คนนี้เจอกันได้ที่ลานกิจกรรมหลังห้างซีคอน สแควร์
(สนาม BRC )ที่กรุงเทพมหานคร  
ใครที่อยู่กทม.สามารถไปร่วมงานนี้ได้เลยนะครับ

End. To Be Continued Part 2 Next Week

สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่

 ลิงค์ภาพ Spyshort  Yamaha Mio 125 CC

๒๙ มกราคม ๒๕๕๓

Naow27 Auto Talk Show #3 : Navigator ติดรถกระบะมันจำเป็นแล้วเหรอ??

สวัสดีครับชาวทวีตชนและชาว #twittcm ทุกท่านครับ
วันนี้ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยเนื่องจากเตรียมข้อมูลมาอย่างดี
แต่มีปัญหาเล็กๆน้อยๆ จึงทำให้เวลา Late ไปเกือบ 15 นาที(จะ 16 นาทีแล้ว) 
เอาล่ะวันนี้ผมขอ Live ในเรื่อง Navigator ติดรถกระบะมันจำเป็นแล้วเหรอ??
 
ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆก็ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนหลายค่ายรถยนต์ก็นำ
เทคโนโลยีต่างๆมาติดตั้งในรถยนต์ แล้วยิ่งรถกระบะที่ใครหลายๆคน
ก็คิดว่าใช้แค่บรรทุกของใช้ขนของ ใช้งานหลายๆด้านเกี่ยวกับการขนส่ง
  แต่ใครจะเชื่อเมื่อทุกวันนี้รถกระบะสามารถเทียบชั้นกับรถเก๋งได้แล้ว
เนื่องด้วยเทคโนโลยีต่างๆจากรถเก๋งได้เข้ามาใส่ในรถกระบะ
 โดยเฉพาะตัวดับเบิ้ล แค็บ(4ประตู)ที่คนส่วนใหญ่
ชอบใช้เหมือนรถส่วนตัวหรือรถเก๋ง

 แล้วยิ่งตอนนี้หลายค่ายก็งงกับสิ่งที่อีซูซุทำลงไป
อย่างไม่น่าเชื่อว่า"กล้าติดตั้งได้ยังไง" เหตุผลก็คือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
อีซูซุก็ได้ติดตั้งกล้องมองหลังให้กับดีแมคซ์นับเป็นกระบะรายแรกในเมืองไทย
ที่ติดกล้องมองหลังมาจากโรงงานเลยทีเดียว แล้วเมื่อปี่ที่แล้วก็ได้ติด Navigator
มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถกระบะ อีซูซุได้กล่าวสาเหตุการติด GPS
ในรถกระบะว่า"จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลพบว่ากว่า 52% ของคนไทย
พบว่าหลงทางกันบ่อยมากแล้วแต่ครั้งเสียเวลาในการหลงทางเกือบ 30 นาที
แล้วจังหวัดที่หลงทางบ่อยที่สุดคือกรุงเทพมหานคร"นี้จึงเป็นเหตุผล
ในการติด GPS ให้กับรถกระบะ" อีซูซุก็ได้เปิดตัวระบบ GPS 
ในรถกระบะภายใต้ชื่อว่า i-GENii 
(Genius Expolering Network Interactive Intellgence)พร้อมกับ
เปิดตัวหุ่นยนต์ i-GENii ที่เปรียบเสมือนเพื่อนนำทางให้ถึง
จุดหมายได้รวดเร็วทันใจงานนี้ได้ใช้ GPS ของ GARMIN และ
ชุดเครื่องเสียงจาก Kenwood ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอีซูซุ
 แต่อีซูซุได้บอกว่าสามารถเลือกได้ว่าจะติด GPS หรือไม่
ก็ถึงว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ที่ตนเองไป 
แต่สำหรับใครที่คิดว่า"GPS จะใช้ไปทำไม ยังไม่จำเป็นหรอก"
ผมขอบอกได้เลยว่าตอนนี้เริ่มเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับรถยนต์แล้วในตอนนี้

อย่างไงก็ตามผมก็แบ่งการใช้งานของรถกระบะรุ่นต่างๆดังต่อไปนี้
กระบะตอนเดียวเน้นบรรทุก,กระบะตอนครึ่งเน้นการใช้งานในเมือง
และนอกเมือง สุดท้ายกระบะสองตอนเน้นการใช้งานคล้ายรถเก๋ง
(ตอนเดียว=รุ่นมาตรฐาน,ตอนครึ่ง=2ประตู,สองตอน=4ประตู)

สรุป ใครที่ชอบไปเที่ยวในที่ใหม่ๆก็ควรเลือกระบบนำทางมาเป็น
ผู้ช่วยในการขับขี่เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น น้ำมันหมด ปวดท้อง เป็นต้น
 จะสามารถให้ได้ทันที มันก็แต่แล้วว่าคุณจะใช้มันเป็นให้เป็นประโยชน์หรือไม่?

End. 

จบแล้วครับ สำหรับ Live วันนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่ http://tinyurl.com/naow27-talkshow-re 
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี่

๒๔ มกราคม ๒๕๕๓

Toyota Fortuner 2.5 G VN TURBO เพิ่มทางเลือก สำหรับผู้ที่ชอบความแรง!!






หลังจากที่โตโยต้าได้เปิดตัวฟอร์จูนเนอร์ ไมเนอร์เชน 
เมื่อปี 2008 ก็สามารถป้องกันแชมป์ได้อย่างอยู่ยงคงกระพัน
แล้วมาถึงตอนนี้โตโยต้าก็ได้เพิ่มทางเลือกสำหรับคนที่ชอบความแรง
แต่ประหยัดกว่า 3.0 ลิตร นั้นก็คือ Toyota Fortuner 2.5 G VN TURBO




งานนี้ได้เครื่องยนต์ 2,494 ซีซี 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว ดีโฟร์ดี คอมมอนเรล
ไดเร็คอินเจคชั่น พร้อมด้วยระบบเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์
ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ซึ่งเป็นเครื่องตัวเดียวกับ Hilux VIGO 


  
 ส่วนภายนอกนั้นเหมือนกับรุ่น 3.0 G ไม่ว่าจะเป็น
-ไฟหน้าProjetor
-กระจังหน้า พร้อมสัญลักษณ์ VNTURBO
-ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว
-กระจังมองข้างและมือจับประตูแบบโครเมียม

-ไฟท้ายแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์





 ส่วนภายในนั้นก็ได้มีการตกแต่งแบบเมทัลลิก 
-พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน หุ้มด้วยยูรีเธน 
-เครื่องเสียงแบบ CD/MP3/WMA พร้อมลำโพง 6 ตัว เล่น CD ได้ 1แผ่น
-มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron
 -เครื่องปรับอากาศแบบธรรมดา 3 แถว

 และอื่นๆอีกมากมาย



ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นแบบปกป้อง
-ระบบเบรก ABS พร้อมระบบ Super LSPV
-กุญแจแบบ Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมยแบบ TDS
-ไฟตัดหมอก
-ดิสก์เบรกขนาด 16 นิ้ว


แบบป้องกัน
-ถุงลมนิรภัยแบบ SRS ด้านคนขับ
-โครงสร้างนิรภัยแบบ GOA
-ก้่านพวงมาลัย ยุบตัวได้
-แป้นเบรกยุบตัว ขณะเกิดการชน
-วาล์วตัดน้ำมันอัตโนมัติ เมื่อรถเกิดพลิกคว่ำ
และอื่นๆ






สำหรับ Toyota Fortuner 2.5 G 2WD นั้นสนุนราคา 1.014 ล้านบาท
ใครที่อยากจะเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้
สามารถไปชมและทดลองขับได้ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ

 

๒๓ มกราคม ๒๕๕๓

Naow27 Auto Talk Show #2 : กลยุทธพิฆาตคู่แข่งตลอดกาล


สวัสดีครับ ชาวทวีตภพและชาว #twittcm ทุกท่านครับ
ขอต้อนรับสู่ Naow27 Talk Show Live ครับ
เป็นอีกวันหนึ่งครับที่เราเจอกัน เราจะเจอกัน
ทุกวันศุกร์ เวลา 21.00 น. และ วันเสาร์ เวลา 22.00 น. ครับ
 
วันนี้ผมจะมา Live เรื่อง"กลยุทธพิฆาตคู่แข่งตลอดกาล" งานนี้ใครที่ทำงาน
เกี่ยวกับการค้าขายจะได้รู้เทคนิคเพื่อให้ชนะคู่แข่งตลอดกาลได้อย่างสบายใจ
อาจจะสงสัยว่าทำไม วันนี้ไม่เมาส์เรื่องรถล่ะ? คำตอบคือวันนี้ผมมาเมาส์
เรื่องเกี่ยวกับการตลาดซะหน่อย เพื่อใครที่อยากจะลองทำก็ลองทำได้
แต่ต้องใช้เวลาซะนิดนึงนะครับ(อิอิ)

(ไร้)สาระมาพอแล้ว เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า การตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่
ค่ายรถยนต์ต้องทำเพื่อให้รถรุ่นดังกล่าว เพื่อให้ผู้บริโภคได้จดจำสินค้าง่ายขึ้น
 แต่จะทำไงให้สินค้าดังกล่าวฟีเวอร์ให้ได้ 
 วันนี้ผมมีกรณีที่ เกิดแล้วมา 5 กรณีด้วยกันครับ

กรณีที่ 1 อีซูซุดีแมคซ์ ฟีเวอร์
เมื่อปี 2545 นับว่าเป็นกรณีที่ถือว่าฟีเวอร์มาก
หลังจากเปิดตัวได้ประมาณ 2 วัน(มั้ง จำไม่ได้เพราะมันนานมาแล้ว 55+)
ก็ทำยอดได้ถึงพันคัน แล้วใช้ระยะเวลา 1 ปี สามารถทำได้ 120,000 คัน

กรณีที่ 2 โตโยต้า วีโก้ ฟีเวอร์(โครตๆ)
เมื่อปี 2547 หลังจากที่โตโยต้าโดนอีซูซุเล่นงานเข้าอย่างจัง  
โตโยต้าก็ซุ่มเงียบในการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่เพื่อกระชากอีซูซุ
ลงจากที่ 1 ให้ได้โดยใช้ระยะเวลา 2 ปีในการเฝ้าดูตลาดของอีซูซุ
 รวมไปถึงการพัฒนารถกระบะที่ตอบสนองได้ดีกว่าดีแมคซ์
จนปี 2547 โตโยต้าก็เปิดตัว วีโก้ รถกระบะในตระกูล"ไฮลักซ์"ซึ่ง
เปิดตัวได้เพียง 3 วัน สามารถทำได้ 22,000 คัน นับว่าเยอะกว่าดีแมคซ์ซะด้วย
นับว่าใช้เวลาเพียง 2 ปีในการเฝ้าดูตลาดของฝ่ายตรงข้าม
จนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

กรณีที่ 3 ฮอนด้า แจ็ส รุ่นที่ 2 กลิ่นไอจากแดนปลาดิบ 
นับว่าฮอนด้าได้สร้างกระแสฟีเวอร์ก่อนเปิดตัวได้อย่างงดงามเลยทีเดียว
  เพราะก่อนเปิดตัวได้นำ Honda Fit (Jazz เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) ได้ให้สื่อมวลชน
ได้ลองขับก่อนพบแจ็สเวอร์ชั่นไทย พอเปิดตัวปุ๊ปก็โกยยอดขายได้
เยอะเพื่อสมควร (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2551)

กรณีที่ 4 โตโยต้า ยาริส ต้นแรง ปลายแผ่ว
(เปิดตัวเมื่อ 2549 ปรับโฉมเมื่อปีที่แล้ว) 
โตโยต้าก็เคยสร้างกระแสยาริสให้สนั่นทั่วไทยเมื่อ 2 ปีก่อน 
 แต่พอ Jazz รุ่นที่ 2 เปิดตัวกลับแผ่วอย่างแรงเลยทีเดียว
ก็เลยต้องปรับโฉมเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถดึง Jazz ลงมาจากที่ 1 ได้

กรณีที่ 5 มาสด้า 2 ฟีเวอร์ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว
มาสด้าได้สร้างกระแสน้อง 2 ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว ก็ได้มีการจอง
ก่อนตัวรถจะมาที่โชว์รูม แล้วสามารถทำยอดจองได้ 1,000 คัน
พอเปิดตัวได้ 1 สัปดาห์ สามารถทำยอดขายได้ถึง 3,000 คัน
นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากเลยทีเดียว

ตอนนี้เรามาดูว่า เทคนิคที่จะพิฆาตคู่แข่งนั้นต้องทำยังไง
1.เฝ้าดูการตลาดของฝ่ายตรงข้ามให้ดี เพราะหากสบประมาทเมื่อไร
รับรองเหนื่อยแน่ (เพราะว่าเราไม่ควรมองข้ามสิ่งที่
ฝ่ายตรงข้ามได้กระทำมิเช่นนั้นเราจะเหนื่อยกับการงัดทีเด็ด)

2.สอบถามความต้องการของผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคมัก
อยากได้สินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้โภค 
ฉะนั้นควรศึกษาให้ดีๆนะครับ

3.พัฒนาสินค้าให้ดีกว่าคู่แข่ง วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีเลยก็ว่าได้ 
เพราะสินค้าของคู่แข่งนั้นอาจจะมีจุดด้อยอยู่บ้างจุดโดย
วิธีนี้เราลองซื้อสินค้า(ส่งตัวแทนไปซื้อสินค้า แต่งตัวเหมือนคนธรรมดาทั่วไป)
แล้วก็ดูว่าจุดไหนเป็นจุดด้อย

4.ข้อสุดท้าย เตรียมแคมเปญและจัดกิจกรรม ข้อนี้ถือว่าต้องทำ 
เพื่อเป็นการกระตุ้นสินค้าให้ผู้บริโภคสนใจที่จะซื้อ

(เพิ่มอีกข้อคือบริการหลังการขายต้องพร้อมในการให้บริการ 
หลังผู้บริโภคซื้อสินค้าไปแล้วพบปัญหาหลังจากใช้สินค้าเป็นระยะเวลานาน )

5 ข้อนี้ มีบ้างข้อที่อาจจะใช้เวลานานอยู่
แต่ก็เพื่อให้สินค้านั้นตราตรึงอยู่ในลูกค้าตลอดไป End.   
   
สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่ http://tinyurl.com/naow27-talkshow-re 
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ 

๒๒ มกราคม ๒๕๕๓

Naow27 Auto Talk Show #1 : Eco Car รถยนต์(โครต)ประหยัดที่รอกันเป็นปี

สวัสดีชาวทวีตชนทุกท่าน รวมถึงชาว #twittcm ทุกคนครับ 
ขอต้อนรับสู่ Naow27 Auto Talk Show Live โดยรูปแบบ Live นั้น
จะไปในทางด้านยานยนต์ ผสมผสานกับเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับวงการยานยนต์

วันนี้เป็นวันแรกของการทวีตสดแบบนี้และ(อาจจะ)เป็นครั้งแรกของเมืองไทย
เลยก็ว่าได้ ที่ได้มีการทวีตสดในหมวดยานยนต์  
วันนี้เสนอเรื่อง"Eco Car รถยนต์(โครต)ประหยัดที่รอกันเป็นปี"
 อาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงตั้งหัวข้อแบบนี้ 
ผมต้องย้อนความหลังไปเมื่อประมาณปี 2548 ถึง 2549 เมื่อรัฐบาลได้ 
ประกาศว่า"ประเทศไทยจะมีรถอีโค่คาร์วิ่งกันภายในปี 2552"
แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีค่ายรถยนต์ที่ไม่ปิดเผยความคืบหน้าของโครงการนี้
แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีค่ายรถยนต์ที่ไม่เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการนี้
บวกกับปัจจัยหลายๆ ด้านที่ทำให้โครงการนี้ล่าช้าอย่างกะหอยทาก
จนในที่สุดก็มีค่ายรถยนต์รุ่นหนึ่งที่มาประกาศว่า
"จะค่ายรถยนต์รุ่นแรกที่มี อีโค่คาร์ในประเทศไทย"จะเป็น ใครเป็นไปไม่ได้
นอกเสียจากค่ายนิสสันที่ได้ประกาศว่า"จะเป็นค่ายแรกที่เปิดตัวรถอีโค่คาร์
ในไทย"เมื่อปีที่แล้วนี้เอง พร้อมกับเผยภาพสเก็ตรถอีโค่คาร์ของนิสสัน
ถ้าใครอยากเห็นตามลิงค์เลยครับ http://tinyurl.com/yh9p7bo  

คำถามต่อมาคืออีโค่คาร์คืออะไร? 
อีโค่คาร์คือรถยนต์ที่มีความประหยัดกว่ารถทั่วไป
โดยมีสำนักงานส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ(BOI) 
โดยบีโอไอเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของรถยนต์อีโค่คาร์ 
สำหรับรถอีโค่คาร์นั้นต้องมี 4 คุณสมบัติที่รถยนต์ทุกค่ายต้องทำกันคือ


1.มีอัตราการใช้น้ำเชื้อเพลิงไม่เกิน 5.0 ลิตร หรือ 100 กม.

2.มาตรฐานมลพิษต้องอยู่ในระดับยูโร 4 (EURO4) และมีปริมาณ
การปล่อยก็าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยได้ไม่เกิน 120 กรัม
ต่อระยะทาง 1 กม.

3.สามารถปกป้องผู้โดยสารกรณีเกิดการชนจากด้านหน้าและด้านข้าง
ตามมาตรฐานความปลอดภัยของ Unece* 94 และ 95 
(*Unece คือคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจสหภาพยูโรป) 

ข้อสุดท้ายคือต้องมีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,300 ซีซี
สำหรับเบนซิน และ 1,400 ซีซี สำหรับดีเซล



แต่ขนาดของตัวรถนั้นกลับไม่จำกัด
(ง่ายๆคือตัวรถเป็น SUV แต่เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 1,400 ซีซี) 

นี่คือ 4 คุณสมบัติของการเป็นอีโค่คาร์ สำหรับใครที่รอรถอีโค่คาร์นั้น
นิสสันได้ให้คำมั่นสัญญาว่า"จะเปิดตัวภายในเดือนมีนาคมปีนี้"  
ส่วนราคานั้น คาดว่าจะต่ำกว่า Mazda 2 หรือรถยนต์รุ่นอื่นๆ
(ราวๆก็ประมาณ 3-4 แสนบาท)แต่ที่น่าจับตามอง คือการตลาดของนิสสันว่า
จะทำยังไงให้อีโค่คาร์ฟีเวอร์ให้มากที่สุด ส่วนชื่อนั้นคาดว่าจะใช้ชื่อ"March"
เป็นชื่อในการขาย หากท่านใดที่สนใจในเรื่องนิสสันอีโค่คาร์
สามารถติดตามได้ที่ @NissanThailand ส่วนค่ายเบอร์ 1 อย่างโตโยต้า
ตอนนี้ก็กำลังตัดสินใจว่าจะเอารถรุ่นใดมาเป็นอีโค่คาร์ โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
มีกระแสว่า โตโยต้าจะใช้เจ้า Etios (อิดิออส)รถต้นแบบจาก
งานนิวเดลี มอเตอร์โชว์ที่อินเดียมาเป็นอีโค่คาร์ในไทย  เช่นเดียวกับฮอนด้า
ที่อาจจะเอารถต้นแบบอย่าง New Small Concept มาเป็นรถอีโค่คาร์ในไทย
ต้องลุ้นกันต่อไปว่าทั้ง 2 ค่ายจะเอารถรุ่นไหนเป็นอีโค่คาร์ 
แต่อีกนานครับกว่าจะเปิดตัว(ก็ประมาณปี 2555) ส่วนซูซูกินั้น
อาจจะเปิดตัวรถอีโค่คาร์ในปี 2554 ก็ได้เนื่องจากมีแผนผลิต
โรงงานรถอีโค่คาร์ในไทยต้องลุ้นกันต่อไปว่าโตโยต้า,ฮอนด้าและซูซูกิ


จะนำรถรุ่นใดมาเป็นอีโค่คาร์ Naow27 และ AutoThailand 
จะรายงานให้ทราบโดยทั่วกันครับ

สามารถอ่านย้อนหลังได้ทาง http://tinyurl.com/autothailand 
หากมีขอผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยในมานะที่นี่ 

๑๙ มกราคม ๒๕๕๓

๑๖ มกราคม ๒๕๕๓

Chevrolet AVEO 1.6 L อัพแรงม้าให้ขับมันส์ขึ้น

หลังจากที่เชฟโรเลตได้เปิดตัวอาวีโอในไทยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2006
ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว พอมาช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2007
ก็ได้มีการเพิ่มอีก 2 รุ่นคือ Sport SS และ Lux เพื่อเพิ่มทางเลือกสำหรับ
คนที่ชอบความเท่สไตล์สปอร์ตหรือความหรูหราเหมือนรถยนต์ระดับผู้นำ
แต่ดูเหมือนว่าสมรรถนะของอาวีโอนั้นยังคงไม่เร้าใจพอ
  เพราะมีแค่เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 94 แรงม้า 
ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร ที่ 3,400 รอบ/นาที
ดูจากแรงม้าและแรงบิดแล้วพบว่าสมรรถนะนั้นยังไม่เร้าใจเท่าไร


ดังนั้นเชฟโรเลตจึงเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ที่ชอบความแรงแบบสปอร์ต
ด้วยการวางเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตรมาซะเลย



โดยงานนี้เชฟโรเลตได้เปิดตัวในงาน Motor Expo 2009 
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยรูปทรงนั้นยังคงเหมือนอาวีโอวรุ่นทั่วๆไป

ส่วนภายในนั้นได้เพิ่ม ระบบเครื่องเสียงแบบ 2-Din รองรับระบบ CD / MP3
ที่เพิ่มระบบ Bluetooth เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ขนาดโทร

 





ในส่วนรุ่นนั้นได้มีการเพิ่มมาอีก 4 รุ่นคือ SS,LUX ,LT และ LSX
ทั้ง 4 รุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดและสามารถใช้น้ำมัน E20 ได้ 
 มาดูรายละเอียดเครื่องยนต์กันดีกว่า



 เครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี รหัส F16D3 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว แบบ VGIS

ระบบจ่ายน้ำมันแบบ หัวฉีดมัลติพอยท์ (MPFI) ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า
ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที 
เครื่องยนต์ตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับ Chevrolet Optra เพียงแต่ว่า
ได้มีการปรับแรงม้าให้ลดลง 5 %  ส่วนแรงบิดนั้นลดลงไป 5 %
เช่นกัน ส่วนรอบแรงบิดนั้นปรับลดลงไป 400 รอบ

ส่วนระบบช่วงล่างแบบ ยูโรไรด์ ซัสเพนชั่น ยึดเกาะถนน และปลอดภัย
ระดับมาตรฐานยุโรป ด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สัน สตรัท
 คอยล์สปริง ช็อคอัพแก๊ส พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชั่นบีม
ยูโรปเปียนเฮลิคัล สปริง พร้อมช็อคอัพแก๊ส



 
ส่วนความปลอดภัยนั้น อาวีโอมีระบบเบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD
 ถุงลมนิรภัย กุญแจ Immobilizer สัญญาณกันขโมย ไฟตัดหมอก (เฉพาะรุ่น) 




เชฟโรเลตอาวีโอ 1.6 ลิตร มีให้เลือกทั้ง 4 รุ่นสามารถใช้น้ำมัน E20 ได้
ราคา
 
-เชฟโรเลต อาวีโอ 1.6 ลิตร LSX 644,000 บาท
- เชฟโรเลต อาวีโอ 1.6 ลิตร LT 674,000 บาท
- เชฟโรเลต อาวีโอ 1.6 ลิตร SS   669,000 บาท
- เชฟโรเลต อาวีโอ 1.6 ลิตร LUX 709,000 บาท


หากใครสนใจที่จะทดลองขับเชฟโรเลต อาวีโอ 1.6 ลิตร 
สามารถทดลองขับได้ที่โชว์รูมเชฟโรเลตทั่วประเทศ


๐๙ มกราคม ๒๕๕๓

อาฟต้าเป็น 0 % มาสด้าปรับลดราคาน้อง 3 เริ่มต้นที่ 7.55 แสนบาท

 

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ขานรับนโยบายเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า
(ASEAN Free Trade Area: AFTA) ส่งผลให้มีการลดภาษีศุลกากร
สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ 

ประกาศปรับลดราคาจำหน่ายรถยนต์มาสด้า3

ทุกรุ่นใหม่หมดทันที เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 

เป็นต้นไปโดยราคาเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท พร้อมกันนี้มาสด้ายังมอบ
ข้อเสนอพิเศษด้วยดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 2.19% ฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี
และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งอีกด้วย



จอห์น เรย์  กรรมการผู้จัดการ 

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า 
การที่เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า มีผลบังคับใช้
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553ที่ผ่านมา ส่งผลให้รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า 3
ซึ่งทำการผลิตที่ประเทศฟิลิปปินส์ได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว
จากการลดภาษีศุลกากรลงเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์
โดยมาสด้าได้ประกาศปรับราคาของรถยนต์นั่งมาสด้า3 ทุกรุ่นใหม่ทันที 
ซึ่งปรับลดลงสูงสุดถึง 30,000 บาท ทั้งนี้ รถยนต์นั่งมาสด้า3 
ยังคงความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งเรื่องของดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต
สมรรถนะของรถยนต์ การขับขี่ที่สนุกเร้าใจ และความคุ้มค่าคุ้ม
ราคาของมาสด้า3ที่ตอบสนองทุกการขับขี่ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
ได้อย่างดีเยี่ยม

สำหรับราคาใหม่ของรถยนต์มาสด้า3 นั้นเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท 
ในรุ่น Groove เกียร์อัตโนมัติ และปรับลดลงมากที่สุดถึง 30,000 บาท 
โดยเริ่มมีผลบังคับใช้สำหรับรถที่ส่งมอบ
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป


สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว ว่า หลังจากประสบความสำเร็จ
อย่างยิ่งในการเปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตซิตี้คาร์น้องใหม่
 New Mazda2 ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้จากยอดจองทั้งสิ้นกว่า 4,000 คัน
ในปีนี้ มาสด้า3 ก็มาเป็นอีกโมเดลหนึ่งที่สร้างสีสัน
  และทำให้อำนาจการแข่งขันของมาสด้าประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้น 
สืบเนื่องจากการมีผลบังคับใช้ของอาฟต้าในปี 2010 นี้ 
ได้ให้ประโยชน์แก่ลูกค้าผู้กำลังมองหาเป็นเจ้าของรถยนต์นั่ง
ดีไซน์สปอร์ตขนาดกลาง ที่มาพร้อมรูปโฉมที่สวยงาม ล้ำสมัย
 พร้อมให้อุปกรณ์และแพ็คเก็จ
รวมของรถอย่างคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับราคาจำหน่าย 
จึงทำให้ตำแหน่งของรถมาสด้า3 ในตลาดอยู่ในจุดที่สามารถแข็งขันได้สูง


พร้อมกันนี้เพื่อ เป็นการขอบคุณพร้อมร่วมเฉลิมฉลองใน

ช่วงเทศกาลปีใหม่ต้อนรับปีขาลมาสด้ายินดีมอบข้อเสนอสุดพิเศษ
เอาใจแฟนพันธุ์แท้มาสด้าตลอดเดือนมกราคม 2553
โดยรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 รับฟรีทันทีค่าบำรุงรักษานาน 3 ปี 
หรือ 60,000 กิโลเมตร พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้น1
  และอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.19% 
สำหรับผู้ซื้อรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 รับทันทีประกันภัยชั้นหนึ่ง 
ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.79 % รถยนต์นั่งสปอร์ตน้องใหม่ New Mazda2
ราคาเริ่มต้นเพียง 535,000 บาท พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้น1 
ส่วนรถยนต์สปอร์ตครอสโอเวอร์หรู 7 ที่นั่ง New Mazda CX-9
รับฟรีประกันภัยชั้น1พร้อมด้วยฟรี
ค่าบำรุงรักษานาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

และสุดยอดรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก New Mazda MX-5 
รับฟรีประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร 
พร้อมด้วยฟรีค่าบำรุงรักษานาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร
และประกันภัยชั้น1


ตารางราคาใหม่รถยนต์มาสด้า3 รับภาษีอาฟต้า

1.6L  Groove                      755,000
1.6L  Spirit                         799,000
1.6L  Spirit sports                     835,000   
            2.0L  Maxx                           990,000             
2.0L  Maxx sports (S/R)          1,025,000


 


ฟอร์ดปลื้มยอดขายเดือนธันวาคมพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 24 เดือน





 ฟอร์ด ประเทศไทย ส่งท้ายพ.ศ. 2552 อย่างยิ่งใหญ่ด้วยยอดขาย
เดือนธันวาคมพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 24 เดือน โดยยอดขายรถยนต์ภายใต้
แบรนด์ฟอร์ดในเดือนธันวาคมมีจำนวน 1,037 คันเพิ่มขึ้นเกือบ 58 เปอร์เซ็นต์
เทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซ็นต์ 
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2551

       ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่

ยอดขายรวมในเดือนธันวาคม  เป็นผลจากการที่รถยนต์ทุกรุ่น
   สามารถทำยอดขายต่อเดือนได้สูงที่สุดในรอบปี

          ยอดขายรถฟอร์ด เรนเจอร์ เดือน ธันวาคมอยู่ในระดับสูงสุดนับ

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 37 เปอร์เซ็นต์
เทียบกับเดือนก่อนหน้าด้วยจำนวน 660 คัน
 ขณะที่ยอดขายรวมในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นกว่า 11 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาส 3 
ด้านฟอร์ด เอสเคป ทำยอดขายอยู่ในระดับสูงสุด
นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 หรือเพิ่มขึ้น 175 เปอร์เซ็นต์
จากเดือนก่อนหน้า


          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ นับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ของฟอร์ดที่มียอดขาย

ในเดือนธันวาคมอยู่ในระดับสูงสุด ในรอบกว่า 4 ปี 
หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 39 เปอร์เซ็นต์เทียบกับเดือนก่อนหน้า
 ยอดขายฟอร์ด เอเวอเรสต์ประจำไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 102 เปอร์เซ็นต์
จากไตรมาส 3 ของปี 2552

          รถยนต์ฟอร์ด โฟกัส ทีดีซีไอ พร้อมระบบเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์

ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับฟอร์ด โฟกัส ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับสูงสุด
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 216 เปอร์เซ็นต์
จากเดือนพฤศจิกายน และยอดขายรวมในไตรมาส 4 ของฟอร์ด
โฟกัส เพิ่มขึ้น 81 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสก่อนหน้า

          "การที่ยอดขายรถยนต์ ฟอร์ดทุกรุ่นอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

แสดงให้เห็นว่าเราได้นำเสนอสินค้าที่มี ความเหมาะสมต่อไลฟ์สไตล์
ที่แตกต่างกันของลูกค้าฟอร์ดในประเทศไทย" สาโรช เกียรติเฟื่องฟู

รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทยกล่าว "การเปิดตัวรถฟอร์ด เฟียสต้าใหม่

ในปีนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าระดับโลก
ภายใต้แบรนด์ฟอร์ดเพิ่ม ขึ้นอีกขั้น และจะช่วยต่อยอด
ความสำเร็จของเราในอนาคต"

          ทั้งนี้ รถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

เปิดตัวครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียนภายในงานมหกรรมยานยนต์ 
ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2009
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รถยนต์ระดับโลก ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ 
จะผลิตที่โรงงานที่มีเทคโนโลยีทันสมัยแห่งใหม่ของฟอร์ด
ภายใต้การลงทุนมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
  (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) ณ โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย 
ในจังหวัดระยอง และจะพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทย
และทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนในปีนี้